วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

กายทิพย์ ถอดจิต


         กายทิพย์ ถอดจิต
            
                    

จิตวิญญาณ เป็นรูปขันธ์ในลักษณะนามธรรม เพราะมีสภาพลักษณะคล้ายกับอากาศที่โปร่งแสง ซึ่งไม่อาจจับต้องได้ และตาเนื้อก็มองเห็นได้ยาก เราจะรู้ว่านื่คือ "อากาศ"
ต่อเมื่ออากาศเคลื่อนตัวเป็นลมสัมผัสกับกาย แต่จะมองเห็นหรือรู้เรื่องวิญญาณก็ต้องอาศัยจากกระแสอำนาจจิตที่บำเพ็ญจนถึงจตุตถฌาน ก็จะสามารถสัมผัสได้รู้เห็นเองเข้าใจถึงสภาวะธรรมชาติของโลกวิญญาณซึ่งเป็นสภาพที่รู้เฉพาะตัว

จิตวิญญาณจากโลกวิญญาณที่ต้องมาเกิดนั้น ไม่ว่าจะเป็นพรหม เทพ ยม หรือ ผีเปรต อสูรกาย ล้วนมีกรรมวิบากของตนเป็นที่ตั้ง มีกรรมของตนเป็นเผ่าพันธ์ ปรุงแต่งให้เมื่อเกิดแล้วมีหน้าตาดีหรือรูปอัปลักษณ์ รุ่งเรืองหรืออับจน จิตวิญญาณโดยทั่วไปเป็นสภาพกายทิพย์ที่สามารถขยายตัวให้ใหญ่หรือหดลงให้เล็กได้ เมื่อมาเกิดนั้น ก็จะหดตัวให้เล็กเข้าปฏิสนธิผสมรวมตัวกับเซลตัวอ่อนในครรภ์มารดา และจะวิวัฒนาการขึ้นเกาะที่ต่อม "เมดูลล่า" ซึ่งเป็นก้านสมอง มีลักษณะเป็นรูปปิระมิด เป็นที่ตั้งต้นของเส้นประสาทที่แยกจากสมอง ต่อมนี้มีศูนย์ต่างๆตั้งอยู่ ได้แก่ศูนย์ควบคุมการหายใจ การเต้นของหัวใจ การหดขยายของหลอดโลหิต คุมการจาม ไอ อาเจียน การขับน้ำย่อยของระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อมนี้มีหน้าที่รับความรู้สึกถ่ายทอดไปยังสมองใหญ่ ต่อมนี้ตั้งอยู่เหนือบริเวณท้ายทอย และเป็นส่วนหนึ่งของสมอง ในขณะเดียวกันต่อม "เมดูลล่า" จะเป็นจุดศูนย์รวมของการทิพย์ที่จะผสมกับจิตวิญญาณที่หน้าผากแล้วแยกออกจากกายเนื้อ เมื่อครั้งฝึกการถอดจิต และที่ต่อมนี้เป็นตำแหน่งที่จะเกิดความรู้สึกรับรู้ในเวลาจิตสัมผัสกับเรื่องทิพย์ แล้วส่งไปปรุงแต่ง แปลเป็นความหมายที่สมองใหญ่อีกที กายทิพย์เมื่อมาเกิดแล้วจะถูกวัตถุธาตุ ซึ่งเป็นปฏิกูลปรุงแต่งให้ยึดติดอยู่กับกายเนื้อ เกิดเป็นสภาพกายทิพย์ที่หยาบ เมื่อฝึกถอดกายทิพย์ออกมาได้แล้ว จะมีสายใยแห่งชีวิตเชื่อมโยงกับกายเนื้อ

กายทิพย์เมื่อถอดออกมาใหม่ๆนั้น จะโปร่งแสงฝึกต่อไปอีก กายทิพย์จึงจะค่อยๆทึบแสง เห็นเหมือนกายเนื้อมากขึ้นเรียกว่ากายหยาบ และเมื่อนำกายหยาบนั้นมาเข้าปลงอสุภะด้วยการถอดจิตครั้งแล้วครั้งเล่า ก็จะละลายกิเลสกายในกาย ได้ ทำให้กายหยาบลอกคราบออกไปเป็นชั้นๆ ละเอียดขึ้น ตามลำดับ เมื่อตายลงเมื่อใด กายทิพย์อันละเอียดก็จะแยกออกจากกายเนื้อไปเกิดเป็นเทพ พรหม ซึ่งเป็นรูปแห่งความหมาย สำหรับคนที่ไม่ได้ฝึกถอดจิตละลายกิเลสแล้ว กายทิพย์ก็หยาบต้องไปเกิดเป็นเทวดาชั้นต่ำ หรือว่าเป็นผีเปรต อสูรกาย ตามกรรมวิบากของตนที่สร้างมา กายทิพย์ของเทพ พรหม หรือ ผี เปรต อสูรกายเวลาจะปรากฏให้คนเห็นได้ด้วยตาเนื้อนั้น ต้องอาศัยการรวบรวมพลังจิต ให้ดำรงภาวะจิตขณะนั้นเป็นหนึ่งอย่างแนบแน่นแน่นิ่ง เพิ่มพลังให้กับกายทิพย์จนสามารถเปล่งเป็นภาพที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อ ที่คนทั่วไปที่เห็นแล้วบอกว่า "ถูกผีหลอก" กายทิพย์คนเรานั้น เมื่อตายลง กายทิพย์จะแยกกับร่างออกไปเกิดใช้กรรมตามวาระวิบากกรรมของตนที่สร้างมา ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว ไม่มีวันสิ้นสุดหรือหยุด ต่อเมื่อเข้าสู่แดนนิพพานเท่านั้น จึงไม่ต้องมาเกิดอีก "ความมั่นใจรวมเป็นหนึ่งในเอกะ พาท่านรอดจากอันตรายได้"

ข้อห้ามในระหว่างการนั่งฝึกถอดจิต 


จะต้องฝึกในห้องที่ไม่มีใครรบกวน จนกว่าจะถึงเวลาที่จะกำหนดออกจากสมาธิ ถ้ามีความจำเป็นต้องปลุกแล้ว ห้ามแตะต้องร่างอย่างเด็ดขาด และห้ามตะโกนเรียก เพราะเมื่อแตะต้องร่างและตะโกนเรียกแล้ว กายทิพย์จะรีบกระโจนกลับร่างทันที ทำให้ตกใจ หนักๆอาจจะทำให้เสียสติได้ เหตุเพราะว่า คนเราถ้ายังไม่ตายกายทิพย์เมื่อฝึกจนสามารถแยกกับกายเนื้อได้จะมีสายใยทิพย์ติดกับกายเนื้อ เมื่อเกิดเหตุให้กายเนื้อตกใจ กายทิพย์จะรีบกระโจนกลับคืนร่างทันที เพราะคนยังไม่ตายนั้น กายเนื้อเปรียบดังรังที่จะเกาะอาศัยอยู่เพื่อใช้กรรมต่อไป จนกว่าจะสิ้นอายุขัย จะต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนฝึกวิชานี้ อาราธนาระลึกถึงบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครูบาอาจารย์หลวงพ่อโต และเจ้าที่เจ้าทางช่วยคุ้มครองร่างท่านในระหว่างฝึกจิต ไม่ให้สิ่งเลวร้ายมารมาผจญแฝงหรือทำลายร่างท่านได้ ถ้าเกิดเหตุอะไรที่ทำให้ตกใจให้รีบระลึกถึงครูบาอาจารย์ ท่อง " ธัมมัง อรณัง " หลวงพ่อโตช่วยลูกด้วย และถ้าจะใช้พลังจิตรักษาโรค ก็ให้ระลึกถึงครูบาอาจารย์ทุกครั้ง

      อย่าริอ่านถอดจิตไปในที่ต่างๆ ซึ่งท่านไม่ควรไป เช่น นรกโลกหรือที่แปลกถิ่น เพราะท่านอาจจะถูกอำนาจจิตที่แข็งแกร่งกว่ากักคุมไม่ให้คืนร่างได้ถ้าวิญญาณไม่เข้าร่างเกิน 7 วัน ท่านจะต้องตายและต้องสั่งญาติไว้ว่า ถ้าพบร่างยังอุ่นอยู่ ห้ามโยกย้ายร่างผู้ฝึกถอดจิต เพราะอาจจะเป็นเหตุทำให้กายทิพย์กลับคืนร่างไม่ได้ อย่าเพิ่งเก็บศพอย่างเด็ดขาด เพราะยังไม่ตายคนที่พบเห็น ช่วยจุดธูปหน้าหิ้งพระเรียกร้องให้ครูบาอาจารย์ของผู้ฝึกช่วยเหลือ วิญญาณก็จะกลับคืนร่างได้ จำไว้ว่า ถ้าท่านไม่ทิ้งครูบาอาจารย์หลวงพ่อโตแล้ว ท่านย่อมเมตตาคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา

ฝึกถอดกายทิพย์ขณะนอน
เรื่องนี้ค่อนข้างไสยศาสตร์นิดหน่อย ไม่เหมาะกับคนกลัวผีด้วย...
เพราะบรรดาผีๆ ผู้หวังดี จะมาช่วยดีงก็ได้ เคยได้ยินคนเค้าเล่านะ ถ้าขี้เกียจก็หลับไปเลยก็แล้วกัน...
การฝึกถอดกายทิพย์ขณะนอน
จากอาจารย์กอบเกียรติ กายทิพย์โลกวิญญาณ


๑.ให้นอนหลับในท่านอนหงายปล่อยตัวตามสบาย ไม่ซ้อนเท้ากัน แล้วกำหนดลมหายใจเข้าและออก ให้รู้สึกลมหายใจเข้าและออกยาว และให้ฝึกรู้ลมหายใจตอนหยุด ให้ละเอียดคำว่าละเอียดหมายถึง เบานุ่ม ไม่กระแทกกระทั้น นำไปกำหนดรู้ในเวลาตื่นอยู่ด้วย ทำให้มากที่สุดเท่าที่นึกได้

๒.ขณะนอนเมื่อหลับตาลงหลังจากกำหนดรู้ลมหายใจระยะหนึ่งแล้ว ให้วาดภาพว่ามีร่างกายเรานอนเหนือขึ้นไปประมาณ ๒ เมตร (ถ้าจะเปรียบเหมือนกายเรานอนบนเตียงชั้นล่าง แต่กายที่วาดขึ้นนอนอยู่บนเตียงชั้นบนเหนือขึ้นไป) มีรูปร่างเหมือนกับตัวเรา พยายามใส่รายละเอียดในร่างนั้น วาดรอบร่างนั้น ถ่ายเทความรู้สึกจากร่างที่นอนขึ้นไปร่างบน และถ่ายเทร่างบนลงสู่ร่างที่นอนสลับไปสลับมา ขณะเดียวกันให้ทำความรู้สึกลมหายใจไปด้วย (ถ้ากำหนดลมหายใจไม่ชำนาญ อย่าเพิ่งถ่ายความรู้สึกขึ้นลง เพราะอาจทำให้เราไปบีบรัดลมหายใจ ทำให้อึดอัด ควรฝึกลมหายใจจนกายเบาก่อน จึงฝึกถ่ายความรู้สึก)
๓.เมื่อทำสักระยะแล้วให้กำหนดภาพของเราให้เป็นร่างสีขาว นอนหงายสูงขึ้นไป ซ้อนขึ้นไป จนสุดหูลูกตา(หมายถึงขณะนอนหลับตาอยู่) และฝึกถ่ายความรู้สึกขึ้นไปสู่กายบนสุดนั้นให้ทำอยู่อย่างนี้ วันใดที่ใจสงบที่สุด เมื่อนอนทำ วันนั้นจะถอดได้ แต่ก่อนถอดครั้งแรกนั้นเราต้องฝ่าความตาย ต้องคอยถามตัวเราว่ายินดีจะฝ่าความตายเหมือนเราขาดใจตายอย่างนั้นแหละ ต้องจำไว้ว่า การถอดกายทิพย์จากการนอนนี้ต้องอาศัยการฝึกลมหายใจเป็นหลัก เพราะฉะนั้นต้องฝึกลมหายใจทุกอิริยาบถตลอดเวลาที่นึกได้
ผู้มีราตรีเดียวเจริญ พระพุทธองค์มักทรงเรียกบุตรของพระองค์ผู้กำหนดกัมมัฏฐานแม้ขณะนอนหลับว่า ผู้มีราตรีเดียวเจริญเพราะว่า เมื่อทำมากๆเข้า กายนี้หลับแต่บางทีเรารู้สึกเหมือนตื่นอยู่ตลอดเวลา แท้ที่จริงแล้วกายทิพย์นั้นไม่จำเป็นต้องหลับ ในโลกสวรรค์นั้นไม่มีหลับเนื่องด้วยไม่ต้องใช้กายที่เปื่อยเน่านี้ เพราะกายนี้ต้องเสื่อมและต้องพักฟื้นทุกวัน ในโลกวิญญาณนั้นบางสถานที่มีแต่ความเพลิดเพลิน ยิ่งอยู่นานยิ่งหนุ่มสาวขึ้น มิได้แก่ลงเหมือนในโลก บางท่านมีแสงสว่างออกจากกายมาก ไปที่ไหนแสงมาก่อน บางทีถ้ามาเยี่ยมเราผู้ปฏิบัติอยู่ขณะนอนนั้นแม้เราหลับอยู่เหมือนกับสว่างไสวไปหมด กายทิพย์ของผู้ปฏิบัตินั้นส่วนใหญ่จะมีแสงแล้วแต่ภูมิแห่งสมาธิที่ทำมาก่อน                                               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น