การค้นหาสิ่งมีชีวิตที่ดาวอังคาร
บทความชิ้นนี้ผมเขียนไว้เมื่อสิบปีที่แล้วในคราวที่ดาวอังคารเข้ามาใกล้โลกมากที่สุด แต่ยังไม่ได้เผยแพร่ไปที่ไหน ตอนนี้น่าจะเป็นโอกาสดีเพราะมีเว้ปไซด์ของตัวเอง คิดว่าข้อมูลนี้ยังคงไม่ล้าสมัยและน่าตื่นเต้นสำหรับท่านที่สนใจวิทยาศาสตร์ในทำนองต่างดาวและเอเลี่ยน อย่างไรก็ตามองค์การนาซ่ากำลังใจชื้นขึ้นมาเป็นกองจากข้อมูลที่ได้รับจากยานสำรวจรุ่นต่างๆ นัยว่าคงจะมีข้อมูลเด็ดชนิดเปิดเผยแล้วต้องฮือฮา ดังนั้น เร็วๆนี้จะส่งยานอวกาศรุ่นใหม่ชื่อ Curiosity แปลเป็นไทย "เจ้าหนูสอดรู้สอดเห็น" มีขนาดใหญ่พอๆกับรถเก๋งโตโยต้าวีออส คราวนี้จะพกอุปกรณ์ไฮเทคไปเป็นตันเพื่อฟันธงให้รู้ดำรู้แดงสักทีว่า "มีใครอยู่ที่นั่น"
แบะแสจากซากฟอสซิล
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2544 ดาวอังคารโคจรเข้ามาใกล้โลกมากที่สุดด้วยระยะทางประมาณ 59 ล้านกิโลเมตร เราสามารถมองเห็นดาวสีแดงดวงนี้เด่นเป็นสง่าอยู่ใกล้ๆกับกลุ่มดาวแมลงป่องหรือจักราศี พิจิก (Scorpius) ตั้งแต่หัวค่ำยันเกือบรุ่งสาง จากอดีตที่ผ่านมาเมื่อสหรัฐอเมริกาสามารถส่งยานอวกาศขึ้นไปโคจรรอบๆดาวอังคาร ทำให้องค์การนาซ่าได้อกได้ใจ และยอมลงทุนลงแรงอย่างมากต่อการค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้
ก่อนหน้าที่จะมาถึงยุคของนาซ่า นักดาราศาสตร์รุ่นเก๋าอย่าง กีโอวานี่ เชียร์พาเรรี่(Giovanni Schiaparelli) ได้ส่องกล้องโทรทัศน์เห็นรอยเส้นขีดๆบนดาวอังคารเมื่อ พ.ศ.2420 พี่แกพูดเป็นภาษาอิตาเลี่ยนว่า Canali แต่มีคนไปแปลเป็นภาษาอังกฤษแบบผิดเพี้ยนว่า Canal เลยทำให้สาธารณชนคิดว่ามีคลองส่งน้ำอยู่บนดาวอังคาร ประกอบกับการใส่ไข่ขยายความของนักดาราศาสตร์สมัครเล่นชาวอเมริกัน ชื่อ เปอร์ซิวาล โรเวล (Percival Lowell) ทำให้คลองบนดาวอังคารกลายเป็นเรื่องฮือฮาไปพักใหญ่ พี่แกเล่นบรรยายว่าคลองเหล่านั้นสร้างขึ้นโดยผู้มีภูมิปัญญาสูง มือพ็อกเก็ตบุ๊กชื่อกระฉ่อนอย่าง เฮจ จี เวล (H.G. wells) จับมุขนี้ไปเขียนเป็นนิยายดังขายดิบขายดีเรื่อง สงครามระหว่างดาว (The War of the Worlds) เมื่อ พ.ศ.2441 เมื่อเร็วๆนี้ประมาณต้นปี 2549 ก็มีภาพยนตร์แนวเอเลี่ยนมาฉายที่เมืองไทย ผมก็ยังได้ดูเขาสร้างได้สนุกครับ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวเข้ายึดครองโลกด้วยเทคโนโลยีเหนือชั้น ปืนผาหน้าไม้และขีปนาวุธสุดยอดไฮเทคของกองทัพสหรัฐกลายเป็นไม้จิ๋มฟันที่ไม่ระคายผิวพวกมันแม้แต่น้อย ทุกคนต่างหนีเอาตัวรอดอย่างเดียว แต่ตอนสุดท้ายโลกมนุษย์มีทีเด็ดแบบหมัดน็อก บรรดาเอเลี่ยนทั้งหลายติดเชื้อแบคทีเรียธรรมดาๆที่กระจายอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติป่วยตายเป็นใบไม้ร่วง พวกมันมีเทคโนโลยีสูงส่งเหลือรับประทานแต่ร่างกายไร้ภูมิคุ้มกันแบบซุปเปอร์เอดส์ จุลชีวัน (Micro organism) เพื่อนร่วมโลกตัวเล็กๆที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า กลายเป็นฮีโร่แบบม้ามืดตีนปลาย
สหรัฐและสหภาพโซเวียต ต่างส่งยานอวกาศของตนมุ่งหน้าสู่ดาวอังคารตั้งแต่ปี พ.ศ.2507 เป็นต้นมา เริ่มต้นด้วย ยานมารีนเน่อร์-4 ของนาซ่า แต่ที่ได้ข้อมูลเป็นเนื้อเป็นหนังชิ้นแรกๆเห็นจะได้แก่ยานสำรวจที่ชื่อ ไวกิ้ง-1และไวกิ้ง-2 ปล่อยออกไปเมื่อ วันที่ 20สิงหาคม และ 9 กันยายน พ.ศ.2518 ตามลำดับ ทั้งคู่เข้าสู่วงโคจรระยะประชิดของดาวอังคาร ในอีก 10 เดือนต่อมา และได้รับคำสั่งจากศูนย์ควบคุมให้ปล่อยยานลูก (The Lander) ลงสู่พื้นผิวดาวอังคาร เพื่อปฏิบัติการวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือไฮเทคที่เตรียมไป โดยไวกิ้ง-1 เน้นวิเคราะห์เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต ส่วนไวกิ้ง-2 เน้นการตรวจสอบภาวะสิ่งแวดล้อม เช่น ความเร็วลม องค์ประกอบแร่ธาตุ จากรายงานอย่างเป็นทางการขององค์การนาซ่า มีผลสรุป ดังนี้
1. ความกดอากาศ ประมาณ 7 มิลลิบาร์ (ความกดอากาศของโลก เท่ากับ 1 บาร์ หรือ10 มิลลิบาร์)
2. องค์ประกอบแร่ธาตุ เป็น ซิลิกอน 44% อลูมิน่า 5.5% เหล็ก 18% ไททาเนี่ยม0.9% โปตัสเซี่ยม
0.3%
3. ผลการตรวจวิเคราะห์หาอินทรีย์วัตถุซึ่งเป็นหลักฐานของ " สิ่งมีชีวิต " ปรากฏว่ายังไม่พบ
แต่นักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าก็ยังไม่กล้าฟันธงว่าดาวอังคารไร้สิ่งมีชีวิต เพราะเป็นการวิเคราะห์ในระยะไกล ถ้าจะให้แน่ใจแบบ ชัวร์ป้าดต้องส่งวัสดุกลับมาวิเคราะห์ ในห้องแล็ปที่โลก
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่สร้างความตื่นเต้นให้แก่องค์การนาซ่า เห็นจะได้แก่เรื่องราวของ การค้นพบซากฟอสซิลของจุลชีวัน ในก้อนหินจากดาวอังคาร ชื่อว่า ALH84001 ที่ทุ่งน้ำแข็งขั้วโลกใต้
หินก้อนนี้มีความเป็นมาอย่างไร ติดตามดูนะครับ
1. ประมาณ 3.5 ล้านปีที่แล้ว พื้นผิวดาวอังคารอุดมไปด้วยน้ำและมีสิ่งมีชีวิตจำพวกจุลชีวัน (Microbes) สิ่งเหล่านี้เมื่อตายลงส่วนหนึ่งกลายเป็นซากฟอสซิลฝังตัวอยู่ในก้อนหิน
2. สิ่งแวดล้อมของดาวอังคารเสื่อมโทรมลง ชั้นบรรยากาศส่วนใหญ่หายไป กลายเป็นโลกที่รกร้างว่างเปล่า
3. ประมาณ 16 ล้านปีที่แล้ว แอสตีรอยส์หรือดาวหาง พุ่งเข้าชนดาวอังคาร กระแทกให้ก้อนหินจำนวนหนึ่งกระเด็นหลุดออกไปในอวกาศ
4. หินจำนวนนี้โคจรอยู่รอบๆดวงอาทิตย์ ตามกฎของแรงดึงดูด และเมื่อ 13,000 ปีที่แล้ว ตกลงสู่ผิวโลกที่ขั้วโลกใต้ในบริเวณเนินเขาชื่อ Allan Hills
5. ฤดูร้อนปี พ.ศ.2527 นักธรณีวิทยา (หญิง) ชื่อ Roberta Score เธอสังเกตเห็นหินรูปร่างแปลกนอนสงบนิ่งอยู่ในน้ำแข็ง เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่แต่ก็ด้วยสัญชาติยานของนักวิทยาศาสตร์ เธอเก็บมันใส่ย่ามและส่งไปให้ศูนย์วิจัยด้านอวกาศJohnson Space Centre ที่เมือง Houston รัฐTexas และก็ถูกเก็บแช่ไนโตรเจนเหลวเป็นเวลา 8 ปี ความจริงศูนย์วิจัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเก็บหินจากพระจันทร์ในโครงการอะพอลโล่
6. ปี พ.ศ.2536 หินก้อนนี้ถูกนำมาวิเคราะห์ และพบว่ามันเป็นหินที่มาจากดาวอังคารเพราะมีคุณสมบัติประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นธาตุหลัก (ยืนยันโดยผลสำรวจของยานไวกิ้ง) มีการแบ่งชิ้นส่วนของหินส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยกันตรวจ โดยไม่ได้บอกว่าหินก้อนนี้มาจากไหน
7. นักเคมีชาวอังกฤษ ชื่อ ไซม่อน คลีเม้น (Simon Clement) ซึ่งกำลังทำวิจัยระดับปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด รัฐแคลิปฟอร์เนีย ได้รับชิ้นส่วนของหินและทำการตรวจตามกรรมวิธีที่ร่ำเรียนมาจนเสร็จสิ้นขบวนการ ไซม่อน ส่งผลการวิเคราะห์กลับไปให้องค์การนาซ่าโดยไม่ทราบว่าหินก้อนนี้มาจากไหน แต่ที่แน่ๆอีตานักเคมีจากเมืองผู้ดี รับทรัพย์ค่าตรวจไปเรียบร้อยตามระเบียบ
8. สองปีต่อมา ในเช้าวันหนึ่ง ของต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.2539 ท่านด๊อกเตอร์ไซม่อน (ตอนนี้เรียนจบและกลับมาทำงานอยู่ที่บ้านเกิดในประเทศอังกฤษแล้ว) ต้องถูกปลุกให้ตื่นโดยเสียงโทรศัพท์จากลูกพี่เก่าตอนนี้เป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด รัฐแคลิปฟอร์เนีย ที่เคยเรียนปริญญาเอก ลูกพี่เก่าส่งเสียงโว้กเว็กมาตามสายว่า เฮ้ย สู้เจ้ารีบเผ่นชนิดแปดแสนจับเที่ยวบินแรกตรงมายังกรุงวอชิงตัน แกรู้ไม้ว่าตอนนี้แกดังระเบิดแล้ววะ ดูหนังสือพิมพ์เช้านี้ซิเขาลงข่าวของแกกันใหญ่ อีตาด๊อกเตอร์ชาวผู้ดีงงเป็นไก่ตาแตกเพราะพบว่าที่สนามบินกรุงวอชิงตันมีนักข่าวมารุมล้อมเต็มไปหมด เพราะหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงท่านประธานาธิบดีรูปหล่อแห่งสหรัฐ บิลส์ คลินตัน กำลังจะเปิดแถลงข่าว การค้นพบฟอสซิลของจุลชีวันจากดาวอังคาร ซึ่งยืนยันว่าที่นั่นมี " ชีวิต "
ภาษาอังกฤษสำนวนอเมริกัน ใช้คำพูดว่า We are not alone any more!
วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2543 ผมได้รับข่าวด่วนสดๆจาก NASA News ระบุว่านักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าพบหลักฐานเพิ่มเติมจากหินก้อนดังกล่าวว่าสามารถตรวจพบร่องรอยของสารประกอบแม่เหล็ก Magnetic compound เรียกชื่อทางเคมีว่า magnetite or Fe3O4 เกิดจากการกระทำของจุลชีวัน นาซ่าเรียกการค้นพบนี้ว่า Martian Micro-Magnets
ข้อมูลลับ ที่นาซ่าไม่อยากเปิดเผย
จากการค้นคว้าข้อมูลต่างๆทำให้ผมกล้าพูดได้ว่า องค์การนาซ่า มุมมิบข้อมูลความลึกลับของดาวอังคารเอาไว้มากพอควร ส่วนที่เขาเปิดเผยออกมาดูแล้วมีเล่ห์นัยพิกลเพราะปากหนึ่งก็บอกว่า ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่อีกมือหนึ่งทุ่มงบประมาณก้อนโตเพื่อสำรวจหาสิ่งมีชีวิต หลายครั้งแถลงว่ายังไม่พบอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทำไมต้องทุ่มเทงบประมาณมหาศาล ส่งยานอวกาศลำแล้วลำเล่าไปสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งจะมีเป้าหมายการค้นหาน้ำ อินทรีย์วัตถุ และร่องรอยของสิ่งมีชีวิตสภาคองเกรสของอเมริกันก็ให้การสนับสนุนเต็มที่ในเรื่องงบประมาณ แม้บางครั้งถูกตัดไปบ้างตามภาวะเศรษฐกิจแต่ก็ยังเป็นเงินหลายพันล้านอยู่ดี ผมรู้นิสัยคนอเมริกันดีครับ พวกเขาไม่ใช่คนสุรุ่ยสุร่ายจะให้เงินลูกแต่ละดอลล่าห์ต้องมีเหตุผลอธิบายว่าจะเอาไปทำอะไร ไม่เหมือนพี่ไทยอย่างเราให้เงินลูกเพราะสงสาร หรือรำคาญเสียงร้องไห้ ผมจึงขอนำมาเปิดเผยให้ท่านที่เคารพได้ชมอย่างจะจะ ดังต่อไปนี้
Richard C. Hoagland นักวิชาการอิสระเกี่ยวกับดาวอังคารฟันธงเปรี้ยงว่า นาซ่า เม้มข้อมูลเอาไว้มากมาย สิ่งที่นำมาเผยแพร่ก็ถูกบิดเบือน เช่น ภาพถ่ายจำนวนมากถูกดัดแปลงโดยทำให้เบลอๆดูไม่ชัดเจน พี่แกไม่สบอารมณ์กับเรื่องนี้เพราะถือว่าองค์การนาซ่าเป็นหน่วยงานของรัฐบาล ใช้งบประมาณจากภาษีของชาวอเมริกัน เมื่อได้ข้อมูลอะไรมาก็ต้องแจ้งให้สาธารณะชนทราบ แต่ฝ่ายทางการก็มีข้ออ้างโดยอิงกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงของชาติ เล่นกันคนละแง่ครับ คุณพี่แกเลยต้องเปิดเวทีของตนเอง เหมือนนักการเมืองนอกสภา มีผู้คนสนใจฟังจำนวนมาก พอๆกับรายการอภิปรายไม่ไว้วางใจผมอ่านข้อมูลของพี่แกดูแล้วน่าสนใจครับ เพราะมีเหตุมีผล มีภาพประกอบ ราวกับอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผมเองก็สงสัยเรื่องนี้มานานแล้วเนื่องจากสังเกตเห็นอาการลับๆล่อๆ ขององค์การนาซ่า
หลายครั้งแถลงว่ายังไม่พบอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทำไมต้องทุ่มเทงบประมาณมหาศาล ส่งยานอวกาศลำแล้วลำเล่าไปสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งจะมีเป้าหมายการค้นหาน้ำ อินทรียวัตถุ และร่องรอยของสิ่งมีชีวิต
ผมเชื่อว่าข้อมูลความลี้ลับของดาวอังคารยังมีอีกเยอะ แต่องค์การนาซ่าพยายามปกปิดหรือบิดเบือนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะขืนยอมรับออกมาง่ายๆจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อในด้านศาสนา เรื่องนี้เข้าตำราปากว่าตาขยิบครับ ปากหนึ่งพี่แกนั่งยันนอนยันว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่ ทั้งๆที่สาธารณะชนตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องว่า ในเมื่อท่านบอกว่าดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ไม่มีอะไร ทำไมจึงตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเทงบประมาณส่งยานอวกาศมูลค่าหลายพันล้านไปสำรวจ ขณะที่ประชาชนชาวเมืองลุงแซมจำนวนหลายล้านครัวเรือนยังมีคุณภาพชีวิตต่ำกว่ามาตรฐาน
ชาวอเมริกันผิวดำหรือที่คนไทยเราเรียกอย่างคุ้นเคยราวกับสนิทสนมกันมานานปีว่าพี่มืด ยังอาศัยกินอยู่หลับนอนในแหล่งสลัมตามมหานครของรัฐต่างๆ ผมเคยไปดูงานที่มหานคร New York ก็เห็นสภาพชีวิตที่ค่อนข้างรันทดของประชาชนชั้นสอง ของชาติที่เรียกตัวเองว่ามหาอำนาจ นอกจากนี้คนอเมริกันตามบ้านนอกบ้านนายังอ่านหนังสือออกมั่งไม่ออกมั่ง เพราะไม่ได้เรียนหนังสืออย่างเป็นเรื่องเป็นราว ยังดีที่รัฐบาลอเมริกันมีระบบประกันสังคม ไม่งั้นคงเห็นขอทานเดินขวักไขว่ตามเมืองใหญ่ๆ หากทีวีช่องเจ็ดสีไปทำสารคดีลักษณะวงเวียนชีวิตที่นั่น รับรองว่าหาตัวอย่างได้ไม่ยากในประเทศนี้ นี่คือสภาพเศรษฐกิจและสังคมตัวจริงเสียงจริง ผมยังไม่เคยได้ยินคำอธิบายเหตุผลความแตกต่างระหว่างการทุ่มงบประมาณสำรวจดาวอังคาร กับงบประมาณที่ควรจะใช้ในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน จากปากของรัฐบาลอเมริกันแม้แต่คำเดียว
ในปี ค.ศ. 2007 องค์การนาซ่า ส่งยานลำใหม่ชื่อ Phoenix Mars Lander 2007 ไปสำรวจดาวอังคารโดยพกพาอุปกรณ์ไฮเทคไปเต็มลำ ปล่อยขึ้นสู่อวกาศในเดือนสิงหาคม 2007 และถึงดาวอังคารเดือนพฤษภาคม 2008 เพื่อสำรวจหาแหล่งน้ำและร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในบริเวณขั้วโลก
ที่สุดของที่สุด องค์การนาซ่า ยอมรับว่าการค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารเป็นเรื่องจริง โดยมีหลักฐานเริ่มต้นจากการค้นพบซากฟอสซิลในก้อนหิน (meteorite) ที่มาจากดาวอังคาร ตามข่าวพาดหัว CNN เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2539 ตั้งแต่นั้นมา องค์การนาซ่า จึงมุ่งเน้นการสำรวจไปที่เป้าหมายดาวอังคาร โดยมีการปรับแผนงานด้าวอวกาศให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์นี้ เพราะเริ่มเชื่อว่าดาวดวงนี้เป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตเมื่อหลายพันล้านปีที่แล้ว เช่นเดียวกับทฤษฏีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลก ซึ่งเริ่มต้นจากจุลินทรีย์ตัวน้อยๆ (Microscopic life) จากข้อมูลที่เห็นกันอยู่แล้ว พบว่าดาวอังคารมีแหล่งน้ำ และภูเขาไฟ แสดงว่าต้องมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถอาศัยอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ร้อนสุดๆ โดยแฝงตัวอยู่ในปล่องน้ำพุร้อน ลึกลงไปใต้ดิน เหมือนกับกรณีของบ่อน้ำพุร้อน ที่อุทยานแห่งชาติ เยลโร่สโตนส์ สหรัฐอเมริกา
สรุป
การค้นหาสิ่งมีชีวิตที่ดาวอังคาร ยังเป็นภารกิจที่คาใจองค์การนาซ่าอย่างมาก เพราะข้อมูลต่างๆที่ได้รับส่อไปในทางบวกที่มีแนวโน้มว่าดาวอังคารต้องมีอะไรบางอย่าง ผมเชื่อว่าจริงๆแล้วสหรัฐอเมริกามีข้อมูลมากกว่าที่เราๆท่านๆรู้ ไม่งั้นแล้วพี่แกจะต้องร้อนรนควักกระเป๋าอย่างหนักทำไม ยานอวกาศแต่ละลำราคาแพงกว่างบประมาณซื้ออาหารแจกคนจนในอเมริกาทั้งประเทศ ผมทำงานเป็นที่ปรึกษากับ USAID หลายโครงการ รู้เช่นเห็นชาติความขี้เหนียวงบประมาณของฝ่ายการเงินอเมริกันอย่างดี แต่ถ้าโครงการไหนเข้าตากรรมการและมีแนวโน้มอย่างแรงว่าจะประสบความสำเร็จ ลูกพี่แกทุ่มทุนชนิดถึงไหนถึงกัน ถ้าใครว่าอเมริกันเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายผมกล้าเถียงว่าไม่จริง ถ้าจะพูดให้ถูกคนอเมริกันควักกระเป๋าไม่อั้นถ้าโครงการนั้นๆมีความเป็นไปได้สูง สำนวนอังกฤษสไตล์อเมริกันใช้คำว่า Sound Project หรือ Sexy Project ดังนั้นโครงการค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารก็เข้าทำนองนี้แหละ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น