วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การค้นหาสิ่งมีชีวิตที่ดาวอังคาร


การค้นหาสิ่งมีชีวิตที่ดาวอังคาร
        บทความชิ้นนี้ผมเขียนไว้เมื่อสิบปีที่แล้วในคราวที่ดาวอังคารเข้ามาใกล้โลกมากที่สุด แต่ยังไม่ได้เผยแพร่ไปที่ไหน ตอนนี้น่าจะเป็นโอกาสดีเพราะมีเว้ปไซด์ของตัวเอง คิดว่าข้อมูลนี้ยังคงไม่ล้าสมัยและน่าตื่นเต้นสำหรับท่านที่สนใจวิทยาศาสตร์ในทำนองต่างดาวและเอเลี่ยน อย่างไรก็ตามองค์การนาซ่ากำลังใจชื้นขึ้นมาเป็นกองจากข้อมูลที่ได้รับจากยานสำรวจรุ่นต่างๆ นัยว่าคงจะมีข้อมูลเด็ดชนิดเปิดเผยแล้วต้องฮือฮา ดังนั้น เร็วๆนี้จะส่งยานอวกาศรุ่นใหม่ชื่อ Curiosity แปลเป็นไทย "เจ้าหนูสอดรู้สอดเห็น" มีขนาดใหญ่พอๆกับรถเก๋งโตโยต้าวีออส คราวนี้จะพกอุปกรณ์ไฮเทคไปเป็นตันเพื่อฟันธงให้รู้ดำรู้แดงสักทีว่า "มีใครอยู่ที่นั่น"  
 
 
 
 
แบะแสจากซากฟอสซิล

        เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ..2544 ดาวอังคารโคจรเข้ามาใกล้โลกมากที่สุดด้วยระยะทางประมาณ 59 ล้านกิโลเมตร เราสามารถมองเห็นดาวสีแดงดวงนี้เด่นเป็นสง่าอยู่ใกล้ๆกับกลุ่มดาวแมลงป่องหรือจักราศี พิจิก (Scorpius) ตั้งแต่หัวค่ำยันเกือบรุ่งสาง จากอดีตที่ผ่านมาเมื่อสหรัฐอเมริกาสามารถส่งยานอวกาศขึ้นไปโคจรรอบๆดาวอังคาร ทำให้องค์การนาซ่าได้อกได้ใจ และยอมลงทุนลงแรงอย่างมากต่อการค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้
ก่อนหน้าที่จะมาถึงยุคของนาซ่า นักดาราศาสตร์รุ่นเก๋าอย่าง กีโอวานี่ เชียร์พาเรรี่(Giovanni Schiaparelli) ได้ส่องกล้องโทรทัศน์เห็นรอยเส้นขีดๆบนดาวอังคารเมื่อ พ..2420 พี่แกพูดเป็นภาษาอิตาเลี่ยนว่า Canali แต่มีคนไปแปลเป็นภาษาอังกฤษแบบผิดเพี้ยนว่า Canal เลยทำให้สาธารณชนคิดว่ามีคลองส่งน้ำอยู่บนดาวอังคาร ประกอบกับการใส่ไข่ขยายความของนักดาราศาสตร์สมัครเล่นชาวอเมริกัน ชื่อ เปอร์ซิวาล โรเวล (Percival Lowell) ทำให้คลองบนดาวอังคารกลายเป็นเรื่องฮือฮาไปพักใหญ่ พี่แกเล่นบรรยายว่าคลองเหล่านั้นสร้างขึ้นโดยผู้มีภูมิปัญญาสูง มือพ็อกเก็ตบุ๊กชื่อกระฉ่อนอย่าง เฮจ จี เวล (H.G. wells) จับมุขนี้ไปเขียนเป็นนิยายดังขายดิบขายดีเรื่อง สงครามระหว่างดาว (The War of the Worlds) เมื่อ พ..2441 เมื่อเร็วๆนี้ประมาณต้นปี 2549 ก็มีภาพยนตร์แนวเอเลี่ยนมาฉายที่เมืองไทย ผมก็ยังได้ดูเขาสร้างได้สนุกครับ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวเข้ายึดครองโลกด้วยเทคโนโลยีเหนือชั้น ปืนผาหน้าไม้และขีปนาวุธสุดยอดไฮเทคของกองทัพสหรัฐกลายเป็นไม้จิ๋มฟันที่ไม่ระคายผิวพวกมันแม้แต่น้อย ทุกคนต่างหนีเอาตัวรอดอย่างเดียว แต่ตอนสุดท้ายโลกมนุษย์มีทีเด็ดแบบหมัดน็อก บรรดาเอเลี่ยนทั้งหลายติดเชื้อแบคทีเรียธรรมดาๆที่กระจายอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติป่วยตายเป็นใบไม้ร่วง พวกมันมีเทคโนโลยีสูงส่งเหลือรับประทานแต่ร่างกายไร้ภูมิคุ้มกันแบบซุปเปอร์เอดส์ จุลชีวัน (Micro organism) เพื่อนร่วมโลกตัวเล็กๆที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า กลายเป็นฮีโร่แบบม้ามืดตีนปลาย



              สหรัฐและสหภาพโซเวียต ต่างส่งยานอวกาศของตนมุ่งหน้าสู่ดาวอังคารตั้งแต่ปี พ..2507 เป็นต้นมา เริ่มต้นด้วย ยานมารีนเน่อร์-4 ของนาซ่า แต่ที่ได้ข้อมูลเป็นเนื้อเป็นหนังชิ้นแรกๆเห็นจะได้แก่ยานสำรวจที่ชื่อ ไวกิ้ง-1และไวกิ้ง-2 ปล่อยออกไปเมื่อ วันที่ 20สิงหาคม และ 9 กันยายน พ..2518 ตามลำดับ ทั้งคู่เข้าสู่วงโคจรระยะประชิดของดาวอังคาร ในอีก 10 เดือนต่อมา และได้รับคำสั่งจากศูนย์ควบคุมให้ปล่อยยานลูก (The Lander) ลงสู่พื้นผิวดาวอังคาร เพื่อปฏิบัติการวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือไฮเทคที่เตรียมไป โดยไวกิ้ง-1 เน้นวิเคราะห์เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต ส่วนไวกิ้ง-2 เน้นการตรวจสอบภาวะสิ่งแวดล้อม เช่น ความเร็วลม องค์ประกอบแร่ธาตุ จากรายงานอย่างเป็นทางการขององค์การนาซ่า มีผลสรุป ดังนี้
1. ความกดอากาศ ประมาณ มิลลิบาร์ (ความกดอากาศของโลก เท่ากับ บาร์ หรือ10 มิลลิบาร์)
2. องค์ประกอบแร่ธาตุ เป็น ซิลิกอน 44% อลูมิน่า 5.5% เหล็ก 18% ไททาเนี่ยม0.9% โปตัสเซี่ยม   
    0.3%
3. ผลการตรวจวิเคราะห์หาอินทรีย์วัตถุซึ่งเป็นหลักฐานของ สิ่งมีชีวิต "  ปรากฏว่ายังไม่พบ
    แต่นักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าก็ยังไม่กล้าฟันธงว่าดาวอังคารไร้สิ่งมีชีวิต เพราะเป็นการวิเคราะห์ในระยะไกล ถ้าจะให้แน่ใจแบบ     ชัวร์ป้าดต้องส่งวัสดุกลับมาวิเคราะห์ ในห้องแล็ปที่โลก 

 
 

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่สร้างความตื่นเต้นให้แก่องค์การนาซ่า เห็นจะได้แก่เรื่องราวของ การค้นพบซากฟอสซิลของจุลชีวัน ในก้อนหินจากดาวอังคาร ชื่อว่า ALH84001 ที่ทุ่งน้ำแข็งขั้วโลกใต้    
หินก้อนนี้มีความเป็นมาอย่างไร ติดตามดูนะครับ
1. ประมาณ 3.5 ล้านปีที่แล้ว พื้นผิวดาวอังคารอุดมไปด้วยน้ำและมีสิ่งมีชีวิตจำพวกจุลชีวัน (Microbes) สิ่งเหล่านี้เมื่อตายลงส่วนหนึ่งกลายเป็นซากฟอสซิลฝังตัวอยู่ในก้อนหิน
2. สิ่งแวดล้อมของดาวอังคารเสื่อมโทรมลง ชั้นบรรยากาศส่วนใหญ่หายไป กลายเป็นโลกที่รกร้างว่างเปล่า
3. ประมาณ 16 ล้านปีที่แล้ว แอสตีรอยส์หรือดาวหาง พุ่งเข้าชนดาวอังคาร กระแทกให้ก้อนหินจำนวนหนึ่งกระเด็นหลุดออกไปในอวกาศ
4. หินจำนวนนี้โคจรอยู่รอบๆดวงอาทิตย์ ตามกฎของแรงดึงดูด และเมื่อ 13,000 ปีที่แล้ว ตกลงสู่ผิวโลกที่ขั้วโลกใต้ในบริเวณเนินเขาชื่อ Allan Hills
5. ฤดูร้อนปี พ..2527 นักธรณีวิทยา (หญิงชื่อ Roberta Score เธอสังเกตเห็นหินรูปร่างแปลกนอนสงบนิ่งอยู่ในน้ำแข็ง เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่แต่ก็ด้วยสัญชาติยานของนักวิทยาศาสตร์ เธอเก็บมันใส่ย่ามและส่งไปให้ศูนย์วิจัยด้านอวกาศJohnson Space Centre ที่เมือง Houston รัฐTexas และก็ถูกเก็บแช่ไนโตรเจนเหลวเป็นเวลา ปี ความจริงศูนย์วิจัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเก็บหินจากพระจันทร์ในโครงการอะพอลโล่
6. ปี พ..2536 หินก้อนนี้ถูกนำมาวิเคราะห์ และพบว่ามันเป็นหินที่มาจากดาวอังคารเพราะมีคุณสมบัติประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นธาตุหลัก (ยืนยันโดยผลสำรวจของยานไวกิ้งมีการแบ่งชิ้นส่วนของหินส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยกันตรวจ โดยไม่ได้บอกว่าหินก้อนนี้มาจากไหน
7. นักเคมีชาวอังกฤษ ชื่อ ไซม่อน คลีเม้น (Simon Clement) ซึ่งกำลังทำวิจัยระดับปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด รัฐแคลิปฟอร์เนีย ได้รับชิ้นส่วนของหินและทำการตรวจตามกรรมวิธีที่ร่ำเรียนมาจนเสร็จสิ้นขบวนการ ไซม่อน ส่งผลการวิเคราะห์กลับไปให้องค์การนาซ่าโดยไม่ทราบว่าหินก้อนนี้มาจากไหน แต่ที่แน่ๆอีตานักเคมีจากเมืองผู้ดี รับทรัพย์ค่าตรวจไปเรียบร้อยตามระเบียบ
             8. สองปีต่อมา ในเช้าวันหนึ่ง ของต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.2539 ท่านด๊อกเตอร์ไซม่อน (ตอนนี้เรียนจบและกลับมาทำงานอยู่ที่บ้านเกิดในประเทศอังกฤษแล้ว) ต้องถูกปลุกให้ตื่นโดยเสียงโทรศัพท์จากลูกพี่เก่าตอนนี้เป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด รัฐแคลิปฟอร์เนีย ที่เคยเรียนปริญญาเอก ลูกพี่เก่าส่งเสียงโว้กเว็กมาตามสายว่า เฮ้ย สู้เจ้ารีบเผ่นชนิดแปดแสนจับเที่ยวบินแรกตรงมายังกรุงวอชิงตัน แกรู้ไม้ว่าตอนนี้แกดังระเบิดแล้ววะ ดูหนังสือพิมพ์เช้านี้ซิเขาลงข่าวของแกกันใหญ่ อีตาด๊อกเตอร์ชาวผู้ดีงงเป็นไก่ตาแตกเพราะพบว่าที่สนามบินกรุงวอชิงตันมีนักข่าวมารุมล้อมเต็มไปหมด เพราะหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงท่านประธานาธิบดีรูปหล่อแห่งสหรัฐ บิลส์ คลินตัน กำลังจะเปิดแถลงข่าว การค้นพบฟอสซิลของจุลชีวันจากดาวอังคาร ซึ่งยืนยันว่าที่นั่นมี " ชีวิต "

             ภาษาอังกฤษสำนวนอเมริกัน ใช้คำพูดว่า We are not alone any more!
วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2543 ผมได้รับข่าวด่วนสดๆจาก NASA News ระบุว่านักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าพบหลักฐานเพิ่มเติมจากหินก้อนดังกล่าวว่าสามารถตรวจพบร่องรอยของสารประกอบแม่เหล็ก Magnetic compound เรียกชื่อทางเคมีว่า magnetite or Fe3O4 เกิดจากการกระทำของจุลชีวัน นาซ่าเรียกการค้นพบนี้ว่า Martian Micro-Magnets  




ข้อมูลลับ ที่นาซ่าไม่อยากเปิดเผย
         จากการค้นคว้าข้อมูลต่างๆทำให้ผมกล้าพูดได้ว่า องค์การนาซ่า มุมมิบข้อมูลความลึกลับของดาวอังคารเอาไว้มากพอควร ส่วนที่เขาเปิดเผยออกมาดูแล้วมีเล่ห์นัยพิกลเพราะปากหนึ่งก็บอกว่า ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่อีกมือหนึ่งทุ่มงบประมาณก้อนโตเพื่อสำรวจหาสิ่งมีชีวิต หลายครั้งแถลงว่ายังไม่พบอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทำไมต้องทุ่มเทงบประมาณมหาศาล ส่งยานอวกาศลำแล้วลำเล่าไปสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งจะมีเป้าหมายการค้นหาน้ำ อินทรีย์วัตถุ และร่องรอยของสิ่งมีชีวิตสภาคองเกรสของอเมริกันก็ให้การสนับสนุนเต็มที่ในเรื่องงบประมาณ แม้บางครั้งถูกตัดไปบ้างตามภาวะเศรษฐกิจแต่ก็ยังเป็นเงินหลายพันล้านอยู่ดี ผมรู้นิสัยคนอเมริกันดีครับ พวกเขาไม่ใช่คนสุรุ่ยสุร่ายจะให้เงินลูกแต่ละดอลล่าห์ต้องมีเหตุผลอธิบายว่าจะเอาไปทำอะไร ไม่เหมือนพี่ไทยอย่างเราให้เงินลูกเพราะสงสาร หรือรำคาญเสียงร้องไห้ ผมจึงขอนำมาเปิดเผยให้ท่านที่เคารพได้ชมอย่างจะจะ ดังต่อไปนี้ 
       Richard C. Hoagland นักวิชาการอิสระเกี่ยวกับดาวอังคารฟันธงเปรี้ยงว่า นาซ่า เม้มข้อมูลเอาไว้มากมาย สิ่งที่นำมาเผยแพร่ก็ถูกบิดเบือน เช่น ภาพถ่ายจำนวนมากถูกดัดแปลงโดยทำให้เบลอๆดูไม่ชัดเจน พี่แกไม่สบอารมณ์กับเรื่องนี้เพราะถือว่าองค์การนาซ่าเป็นหน่วยงานของรัฐบาล ใช้งบประมาณจากภาษีของชาวอเมริกัน เมื่อได้ข้อมูลอะไรมาก็ต้องแจ้งให้สาธารณะชนทราบ แต่ฝ่ายทางการก็มีข้ออ้างโดยอิงกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงของชาติ เล่นกันคนละแง่ครับ คุณพี่แกเลยต้องเปิดเวทีของตนเอง เหมือนนักการเมืองนอกสภา มีผู้คนสนใจฟังจำนวนมาก พอๆกับรายการอภิปรายไม่ไว้วางใจผมอ่านข้อมูลของพี่แกดูแล้วน่าสนใจครับ เพราะมีเหตุมีผล มีภาพประกอบ ราวกับอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผมเองก็สงสัยเรื่องนี้มานานแล้วเนื่องจากสังเกตเห็นอาการลับๆล่อๆ ขององค์การนาซ่า

หลายครั้งแถลงว่ายังไม่พบอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทำไมต้องทุ่มเทงบประมาณมหาศาล ส่งยานอวกาศลำแล้วลำเล่าไปสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งจะมีเป้าหมายการค้นหาน้ำ อินทรียวัตถุ และร่องรอยของสิ่งมีชีวิต 






         ผมเชื่อว่าข้อมูลความลี้ลับของดาวอังคารยังมีอีกเยอะ แต่องค์การนาซ่าพยายามปกปิดหรือบิดเบือนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะขืนยอมรับออกมาง่ายๆจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อในด้านศาสนา เรื่องนี้เข้าตำราปากว่าตาขยิบครับ ปากหนึ่งพี่แกนั่งยันนอนยันว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่ ทั้งๆที่สาธารณะชนตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องว่า ในเมื่อท่านบอกว่าดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ไม่มีอะไร ทำไมจึงตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเทงบประมาณส่งยานอวกาศมูลค่าหลายพันล้านไปสำรวจ ขณะที่ประชาชนชาวเมืองลุงแซมจำนวนหลายล้านครัวเรือนยังมีคุณภาพชีวิตต่ำกว่ามาตรฐาน 

            ชาวอเมริกันผิวดำหรือที่คนไทยเราเรียกอย่างคุ้นเคยราวกับสนิทสนมกันมานานปีว่าพี่มืด ยังอาศัยกินอยู่หลับนอนในแหล่งสลัมตามมหานครของรัฐต่างๆ ผมเคยไปดูงานที่มหานคร New York ก็เห็นสภาพชีวิตที่ค่อนข้างรันทดของประชาชนชั้นสอง ของชาติที่เรียกตัวเองว่ามหาอำนาจ นอกจากนี้คนอเมริกันตามบ้านนอกบ้านนายังอ่านหนังสือออกมั่งไม่ออกมั่ง เพราะไม่ได้เรียนหนังสืออย่างเป็นเรื่องเป็นราว ยังดีที่รัฐบาลอเมริกันมีระบบประกันสังคม ไม่งั้นคงเห็นขอทานเดินขวักไขว่ตามเมืองใหญ่ๆ หากทีวีช่องเจ็ดสีไปทำสารคดีลักษณะวงเวียนชีวิตที่นั่น รับรองว่าหาตัวอย่างได้ไม่ยากในประเทศนี้ นี่คือสภาพเศรษฐกิจและสังคมตัวจริงเสียงจริง ผมยังไม่เคยได้ยินคำอธิบายเหตุผลความแตกต่างระหว่างการทุ่มงบประมาณสำรวจดาวอังคาร กับงบประมาณที่ควรจะใช้ในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน จากปากของรัฐบาลอเมริกันแม้แต่คำเดียว

          ในปี ค.ศ. 2007 องค์การนาซ่า ส่งยานลำใหม่ชื่อ Phoenix Mars Lander 2007 ไปสำรวจดาวอังคารโดยพกพาอุปกรณ์ไฮเทคไปเต็มลำ ปล่อยขึ้นสู่อวกาศในเดือนสิงหาคม 2007 และถึงดาวอังคารเดือนพฤษภาคม 2008 เพื่อสำรวจหาแหล่งน้ำและร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในบริเวณขั้วโลก         
                   ที่สุดของที่สุด องค์การนาซ่า ยอมรับว่าการค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารเป็นเรื่องจริง โดยมีหลักฐานเริ่มต้นจากการค้นพบซากฟอสซิลในก้อนหิน (meteorite) ที่มาจากดาวอังคาร ตามข่าวพาดหัว CNN เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2539 ตั้งแต่นั้นมา องค์การนาซ่า จึงมุ่งเน้นการสำรวจไปที่เป้าหมายดาวอังคาร โดยมีการปรับแผนงานด้าวอวกาศให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์นี้ เพราะเริ่มเชื่อว่าดาวดวงนี้เป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตเมื่อหลายพันล้านปีที่แล้ว                เช่นเดียวกับทฤษฏีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลก ซึ่งเริ่มต้นจากจุลินทรีย์ตัวน้อยๆ (Microscopic life) จากข้อมูลที่เห็นกันอยู่แล้ว พบว่าดาวอังคารมีแหล่งน้ำ และภูเขาไฟ แสดงว่าต้องมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถอาศัยอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ร้อนสุดๆ โดยแฝงตัวอยู่ในปล่องน้ำพุร้อน ลึกลงไปใต้ดิน เหมือนกับกรณีของบ่อน้ำพุร้อน ที่อุทยานแห่งชาติ    เยลโร่สโตนส์ สหรัฐอเมริกา
สรุป
            การค้นหาสิ่งมีชีวิตที่ดาวอังคาร ยังเป็นภารกิจที่คาใจองค์การนาซ่าอย่างมาก เพราะข้อมูลต่างๆที่ได้รับส่อไปในทางบวกที่มีแนวโน้มว่าดาวอังคารต้องมีอะไรบางอย่าง ผมเชื่อว่าจริงๆแล้วสหรัฐอเมริกามีข้อมูลมากกว่าที่เราๆท่านๆรู้ ไม่งั้นแล้วพี่แกจะต้องร้อนรนควักกระเป๋าอย่างหนักทำไม ยานอวกาศแต่ละลำราคาแพงกว่างบประมาณซื้ออาหารแจกคนจนในอเมริกาทั้งประเทศ ผมทำงานเป็นที่ปรึกษากับ USAID หลายโครงการ รู้เช่นเห็นชาติความขี้เหนียวงบประมาณของฝ่ายการเงินอเมริกันอย่างดี แต่ถ้าโครงการไหนเข้าตากรรมการและมีแนวโน้มอย่างแรงว่าจะประสบความสำเร็จ ลูกพี่แกทุ่มทุนชนิดถึงไหนถึงกัน ถ้าใครว่าอเมริกันเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายผมกล้าเถียงว่าไม่จริง ถ้าจะพูดให้ถูกคนอเมริกันควักกระเป๋าไม่อั้นถ้าโครงการนั้นๆมีความเป็นไปได้สูง สำนวนอังกฤษสไตล์อเมริกันใช้คำว่า Sound Project หรือ Sexy Project ดังนั้นโครงการค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารก็เข้าทำนองนี้แหละ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น