วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คำอวยพรสำหรับประธาน มอบแด่คู่บ่าวสาว


คำอวยพรสำหรับประธาน มอบแด่คู่บ่าวสาว
คำอวยพรงานแต่งงาน

หลักการเตรียมตัวก่อนพูดง่าย ๆ ที่จะได้นำมากล่าวในที่นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ท่านจะนำไปใช้ประกอบการพูดในโอกาสต่าง ๆ เท่านั้น เพราะเหตุว่าแนวความคิด สำนวนโวหารของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป และนอกจากนั้น การชุมนุมของผู้ฟังแต่ละงาน แต่ละ สถานที่ก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย ดังนั้นจึงจะขอนำมากล่าวอย่างกว้าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. การเตรียมตัว
       เราเชื่ออย่างเหลือเกินว่า ก่อนที่ท่านจะไปงานใดงานหนึ่งท่านจะต้องทราบล่วงหน้าก่อนเสมอ และกล่าว คำอวยพรแต่ละงาน ก็แปลกแตกต่างกันออกไป เช่น บางงานเราอาจจะพูดในฐานะผู้บังคับบัญชา บางงานอาจจะพูดในฐานะผู้ใหญ่ และบางงานเราอาจ จะพูดในฐานเพื่อนสนิท ฉะนั้น เราควรมีการเตรียมตัวล่วงหน้าก่อน อย่างน้อยสักวันหนึ่งเพื่อที่จะนึกสรรหาถ้อยคำอวยพรที่คมคาย สละสลวยเหมาะสมสำหรับงานนั้น ๆ และถ้าจะใช้ซักซ้อมทดลองพูดดูบ้างก็เป็นการดีอย่างที่สุด สิ่งจำเป็นในการเตรียมตัวนี้ก็เพื่อที่ จะให้ผู้พูดเกิดความมั่นใจในตัวเอง เพื่อการพูดประสบความสำเร็จก็เป็นสิ่งที่ผู้พูดภาคภูมิใจมีความสุขทางร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่น แจ่มใส ได้เพิ่มพูนความรู้ ความทรงจำให้แตกฉานยิ่งขึ้น สำหรับในกรณีที่ท่านได้รับการเชิญโดยกะทันหันไม่มีโอกาสเวลา ได้เตรียมตัวเลยนั้น วิธีที่ท่านจะ แก้ปัญหานี้ได้อย่างแนบเนียนก็คือไหวพริบปฏิภาณของท่านเองโดยใช้หลักหัวใจสำคัญของการ พูดแบบไม่เตรียมตัวตามขั้นตอนดังนี้ คือ
     1. คำขึ้นต้น
     2. เนื้อเรื่อง
     3. สรุปจบ

      ก่อนขึ้นเวทีขณะที่ลุกจากโต๊ะออกไปสู่เวที พยายามนึกถึงประโยคที่จะพูดออกมาเป็นประโยคแรก เสร็จ แล้วค่อยนึกเนื้อเรื่อง บนเวที ระหว่างที่พูดอยู่ก็พยายามหาสนามบินลงให้ได้ เมื่อพบแล้วก็สรุปจบเลย ก็พอจะเอาตัวรอดได้ทุกงาน แต่อย่างไรก็ดีท่าน ควรอ่านไว้บ้าง เพราะเมื่อเวลาคับขันขึ้นมาจริง ๆ บางคนคิดอะไรไม่ออก ขึ้นไปยืนอ้ำอึ้งอยู่บนเวทีเป็นนาน เป็นที่อับอายขายหน้า แก่บรรดาแขกเหรื่อเขาก็มี

      2. กริยาท่าทาง 
      เรื่องการวางกิริยาท่าทางเป็นเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการกล่าวคำอวยพร ส่วนมากเรื่องการวางกิริยา ท่าทางนี้ ยังมีผู้ที่ พิถีพิถันกันน้อยมาก เพราะงานพิธีเลี้ยงต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน เป็นต้น ผู้ที่ขึ้นไปกล่าวคำอวยพรก็มักจะดื่มเหล้าเสียเมามาย เลยทำให้กิริยาท่าทางและการพูดเสียไป การออกแสดงด้วยกิริยาท่าทางเป็นคุณลักษณะที่ปรากฏออกมาภายนอกเป็นการ เรียกร้อยสายตาผู้ฟัง ผู้รับพรให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสในตัวผู้พูดยิ่งกว่าธรรมดา กิริยาท่าทางเป็นเครื่องหมายชี้บอกถึงอุปนิสัยจิตใจ ที่ผู้ฟังเห็นแล้วสามารถอ่านออกและมีอิทธิพลยิ่งกว่าคำพูดเสียอีก กิริยาท่าทางอันสง่างามจะเพิ่มพูนอำนาจให้กว้างขวางมากมาย และเพื่อเป็นการเพิ่มความสำคัญในข้อนี้ให้แก่ตัวท่าน จึงขอนำหลักเกณฑ์มาคุยให้ฟังพอหอมปากหอม คอ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริม เพิ่มความสำคัญให้ท่านอย่างดียิ่งทีเดียว

      ก. เมื่อขึ้นไปอยู่บนเวที จงวางกิริยาท่าทางของคุณให้สง่าผ่าเผยแบบธรรมชาติ อย่าพยายามทำสิ่งที่เทียมขึ้นจนเกินไป ซึ่งเรียกกันตามภาษาตลาดว่า "ดัดจริต" เป็นอันขาด และข้อสำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ จงอย่าพยายามกดกิริยาท่าทางของท่านไว้ จงพูดออกมาด้วยความกระตือรือร้นชัดถ้อยชัดคำ ใช้การแสดงออกทางใบหน้าและมือทั้งสองข้างให้สมดุลกัน
      ข. กิริยาท่าทางที่ถูกต้องดี จะเป็นเครื่องช่วยเสริมน้ำคำของเราให้ผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้ง เป็นการช่วยให้ถ้อยคำที่เน้นลงหนักมี ความสำคัญหนักแน่นน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
      ค. จงใช้ท่าทางอันสุภาพอ่อนโยน เพื่อให้คำอวยพรของท่านที่ไพเราะเสนาะหู และผู้รับพรรวม ทั้งเขาจะได้จดจำคำอวยพร อันประทับใจของท่านอีกด้วย
      ง. อย่าใช้กิริยาท่าทางที่ประหม่า เคอะเขินจะเป็นสาเหตุให้กิริยาท่าทางตลอดจนคำพูดของท่านหมดความประทับใจ จงแสดง ความมั่นใจแล้วพูดให้ไพเราะ หนักแน่น มีจังหวะจะโคนนุ่มนวลน่าฟัง
      จ. การวางตัวในขณะที่กล่าวคำอวยพร มีหลักใหญ่ ๆ อยู่ดังนี้
           1. อย่าแสดง การใช้มือประกอบคำพูดด้วยเพียงข้างเดียว
           2. อย่ายืนไปในท่าเอนหลังพิงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
           3. อย่าใช้ผ้าเช็ดหน้าในขณะที่พูด
           4. อย่าใส่กระดุมหรือปลดกระดุมในขณะพูด
           5. กระเป๋าเสื้อไม่ควรมีสิ่งของบรรจุอยู่จนตุงเกินไป
           6. ไม่ควรพับแขนเสื้อหรือปลดกระดุมแบะคอเสื้อ
           7. จงหลีกเลี่ยงถ้อยคำที่เกินความจริง
           8. อย่าพูดซ้ำซากโดยไม่จำเป็น
           9. ใช้คำอวยพรที่สุภาพ ภาษาตลาดและคำหยาบ อย่านำมาใช้
           10. จงแสดงท่าทางเคลื่อนไหวเล็กน้อยเป็นครั้งคราวดีกว่า อย่าทำพร่ำเพรื่อ
           11. อย่าทำกิริยายักไหล่
           12. อย่าพยายามที่จะแสดงท่าทางขอโทษผู้ฟังอยู่เนือง ๆ
           13. ต้องประสานตาผู้ฟังให้ทั่วถึงตลอดเวลา
           14. ต้องตั้งตัวตรงอยู่เสมอ
           15. มือทั้งสองข้างควรปล่อยอยู่ข้าง ๆ ในท่าสบาย ๆ
           16. อย่าเอามือทั้งสองข้างไขว้หลัง
           17. อย่ากุมมือทั้งสองไว้ข้างหน้า
           18. อย่าเอามือยัดใส่กระเป๋าโดยไม่จำเป็น
           19. หัดพูดให้เสียงดัง ชัดถ้อยชัดคำ ถ้าไม่มีไมโครโฟนจงพูดดังพอประมาณ
           20. จงหลีกเลี่ยงการพูดอย่างเร็วปรื๋อ
           21. จงโค้งตั้งแต่บั้นเอว ไม่ใช่โค้งเฉพาะคอ เมื่อเวลาโค้งกายให้ผู้ฟัง

      3. ความรู้สึกของผู้ฟัง
           บรรดาผู้ที่มาร่วมในงาน เมื่อท่านถูกเชิญให้ขึ้นพูด ต่างก็มีความต้องการที่จะฟังคำพูดของท่าน เขาต้องการได้ ฟังถ้อยคำที่มี คุณค่าไพเราะหู ต้องการจะได้เห็นท่าทางที่เหมาะเจาะของท่าน ต้องการที่จะทราบถึงคำอวยพรอันคมคายดื่มด่ำซาบซึ้งของท่าน ไม่มีทางใดที่ท่านควรจะระลึกให้มากไปกว่าจะพยายามกระทำตามความตั้งใจจริงของท่าน พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามทำให้ถูกต้อง น้ำเสียงท่าทางและที่สำคัญก็คือจงพูดให้พุ่งเข้าสู่เป้าหมาย อย่าวกไปวนมา ทำท่าจะจบแล้วไม่ยอมจบ กลับไปขึ้นเรื่องใหม่อีก เป็นการซ้ำซากทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย และต่อไปนี้ เป็นคำถามที่ท่านจะต้องตอบด้วยตัวท่านเอง ก่อนการพูดทุกครั้งคือ
           1. คุณจะเริ่มต้นคำพูดให้กับสถานที่และบุคคลนั้นอย่างไร
           2. คุณควรจะพูดนานสักเท่าใด
           3. จะมีแขกอีกกี่คนที่จะกล่าวอวยพรต่อจากคุณหรือไม่
           4. ผู้ฟังมีปฏิกิริยาอย่างไร ในเวลาที่ท่านลุกออกไป กล่าวคำอวยพร
           5. การเริ่มต้นพูด การเริ่มต้นพูดควรจะพูดด้วยเสียงราบเรียบปกติก่อน แต่อย่าลืมว่าจะต้องแสดงดวงหน้าของท่านให้แจ่มใส
ตลอดเวลา แสดงกิริยาอัธยาศัยให้สุภาพ เริ่มด้วยความอ่อนโยน แต่ไม่ใช่อ่อนแอ ซึ่งเป็นกิริยาท่าทางของคนขลาดตาขาว ต้องสำแดง
ความเข้มแข็งแห่งหัวใจ กล่าวคือ ความเชื่อมั่น และจริงใจอย่างเต็มที่ ท่านจะกล่าวคำอวยพรให้เข้าได้ประสบความเจริญรุ่งเรือง
อย่างแท้จริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าให้เขาเห็นว่าพรที่เราแกล้งพูดขึ้นมาเท่านั้น หาใช่น้ำใสใจจริงไม่ เวลาพูด ควรจะกวาดสายตา
ประสานกับผู้ฟังให้ทั่วบ้างเพราะการใช้สายตากวาดดูผู้ฟังนั้น เท่ากับเป็นเครื่องย้ำความมุ่งหมายของตนเอง บอกความปรารถนาแสดง
ความขอร้องของเราให้เป็นผลอย่างดีที่สุด สายตาต่อสายตาจะทำให้ท่านสามารถกำหนดแห่งคำพูดของท่านได้ สายตาต่อสายตา
ทำให้ท่านรู้ว่าเมื่อใดถึงคราวจำเป็นแล้วที่ท่านจะเน้นคำอวยพรคำใดคำหนึ่งให้หนักแน่นจริงใจและเป็นที่ซาบซึ้งแก่เจ้าภาพของงาน
ให้เขาเห็นว่าเราอวยพรเขาด้วยใจจริงของเรา ต่อไปนี้จะนำเอาหลักการกล่าวคำอวยพร และตัวอย่างคำอวยพรมากล่าว

           
เพื่อให้ท่านประกอบการศึกษา หรืออ่านท่องจำคราวคับขันจะได้ก้าวออกไปสู่เวทีการพูดโดยปราศจากความประหม่า เคอะเขิน การกล่าวคำอวยพรคู่สมรส หลักสำคัญ ที่เป็นหัวใจของการกล่าวคำอวยพรแก่คู่สมรสนั้น ผู้ที่จะกล่าวคำอวยพรจะต้องคำนึงถึง หลักสำคัญ 4 ประการ คือ
           1. กล่าวความสำคัญและความหมายของชีวิตการสมรส
           2. แสดงความยินดี ในความรักของคู่บ่าวสาว
           3. แนะนำหลักการดำเนินชีวิตคู่หรือธรรมมะของผู้ครองเรือน
           4. อวยพร 


ตัวอย่างคำกล่าวของผู้อวยพร

          
ตัวอย่างที่ 1

           ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย (ผม ....... หรือ ดิฉัน .......) รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับเชิญมาร่วมในงาน มงคลสมรสของ ....... ในวันนี้ และ (ผมหรือดิฉัน) รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงยิ่งไปกว่านี้ คือ ได้เห็นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างมีความรักใคร่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างแน่วแน่ ตัดสินใจร่วมครองรักครองชีวิต เป็นทองแผ่นเดียวกัน จึงได้เข้าสู่พิธีมงคลสมรสร่วมรับหยาดน้ำสังข์ และครอบสายสิญจน์มงคลเส้นเดียวกันในวันนี้ พูดถึงความรักของหนุ่มสาวในสมัยปัจจุบันนี้ ดูออกจะเป็นการยากอยู่ไม่น้อยที่จะประคับประคองให้ ดำรงมั่นจนถึงวันแต่งงาน ส่วนมากมักจะลงเอย ด้วยความใคร่แทบทั้งสิ้น แต่ (ผมหรือดิฉัน) ก็แสนที่จะปิติยินดี เมื่อเห็นความรักของคนทั้งสองมิได้อยู่ในภาวะดังกล่าว หากแต่สามารถดำเนินมา อย่างราบรื่น จนถึงการแต่งงานได้ ฉะนั้น ผมขอถือโอกาสอันเป็นมิ่งมงคลนี้อวยพรให้คุณทั้งสองจงร่วมครองรัก ครองเรือนกันด้วยความสุขสดชื่น พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์ศฤงคารอย่าให้มีอุปสรรคใดมาขวางกั้นให้นาวารักต้องสะดุดหยุดนิ่ง หรือแตกสลายก่อนถึงฝั่ง ขอให้คุณทั้งสอง ร่วมแรงร่วมใจรักใคร่ปรองดองช่วยกันทำนาวารักพุ่งไปสู่จุดหมายสมปรารถนา ในสิ่งอันเป็นยอดปรารถนาทุกประการ


................................................................................................................................................................................

          ตัวอย่างที่ 2 

          
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ เหนือสิ่งอื่นใด (ผมหรือดิฉัน) ปรารถนาที่จะขอพูดก่อนเลยว่า รู้สึกปลาบปลื้ม อย่างที่สุดที่ได้รับเกียรติ มาร่วมในวันอันเป็นมงคลยิ่งของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในครั้งนี้ และสิ่งที่ (ผมหรือดิฉัน) จะพูดต่อไป ก็เห็นจะไม่มีสิ่งใดนอกไปกว่าความภาคภูมิใจ ที่ได้รับเกียรติมาอวยพรแด่เจ้าบ่าวเจ้าสาวในวันนี้ ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณทั้งสอง เพราะจากวันนี้เป็นต้นไปทั้งสองจะต้องถือว่าได้ เป็นบุคคลคนเดียวกันแล้ว โดยสมบูรณ์ ปัจจุบันนี้คำว่าเพื่อนเป็นเพื่อนตายดูออกจะหายากสักหน่อย แต่ถ้าเราจะมองกันให้ซึ้ง และเข้าใจ ซึ่งกันและกันเป็นอย่างดีแล้ว จะพบว่าบุคคลที่สามารถจะเป็นเพื่อนตายกันได้เป็นอย่างดี ก็คือ สามีและภรรยาที่มีความเข้าใจต่อกันดีนั่นเอง และบัดนี้ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านก็ได้ประจักษ์แล้วว่า ความรัก ความเข้าใจอันดีระหว่างคุณทั้งสองได้บรรลุสู่จุดมุ่งหมายแล้ว นั่นคือ การได้เข้าสู่พิธีมงคลสมรสในวันนี้ ถึงแม้วันเวลาจะล่วงเลยจากวันนี้ไปอีกสักกี่ปีก็ตาม ผมขอให้คุณทั้งสองจงรักใคร่ ถนอมน้ำใจ เอาใจใส่ซึ่งกันและกันเหมือนเช่นขณะที่เริ่มมีความรักต่อกันเช่นนี้ตลอดไป
        ฝ่ายหญิงก็อย่าถือตนว่าบัดนี้เธอเป็นสามีของฉันแล้วเธอจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำพูดของฉันเสมอ หากเจ้าสาวคนใดคิดเช่นนี้แล้ว ก็มักจะได้ความผิดหวังและเสียใจเสมอ เพราะแทนที่สามีจะเชื่อและปฏิบัติตาม กลับตรงกันข้าม คือ มีความรู้สึกเหมือนกับว่า การแต่งงานของเขานั้น เป็นเครื่องพันธนาการอันน่าเบื่อหน่าย ผู้ชายเราก็มักจะตายด้วยความอ่อนหวานน่ารัก ความเอาอกเอาใจของภรรยา
       ส่วนฝ่ายสามีก็อย่าได้ถือว่าเอาละตอนนี้เธอเป็นเมียฉันแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาอกเอาใจกันอีกต่อไปแล้ว เพราะถึงยัง ๆ เธอก็เป็นของตาย ของฉันวันยังค่ำ หากสามีคนไหนคิดเช่นนี้คงได้รับบทเรียนที่น่าเสียใจไปตลอดชีวิตเข้าสักวันหนึ่งจนได้ คือ ถูกภรรยาทิ้ง ถ้าสามีคนใดต้องการ ได้รับความอ่อนหวานต้องการการปรนนิบัติเอาใจใส่จากภรรยาอย่างจริงใจแล้วต้องหมั่นจีบเธอ คล้ายกับเมื่อครั้งรักกันใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพราะธาตุแท้ ของผู้หญิงนั้น ต้องการที่จะได้คำหวานคำชมจากสามีหรือคนรักอยู่ตลอดเวลา โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลย เพราะความรักเป็นสิ่งที่มีชีวิตและวิญญาณ คู่สมรสต้องหมั่นทำนุบำรุงรักษาสม่ำเสมอทุกวัน ต้นรักจึงจะเจริญงอกงามแผ่ขยายกิ่งก้านสาขาผลิดอกออกผล เป็นที่น่าปลาบปลื้มใจตลอดไป และ (ผมหรือดิฉัน) ขอถือโอกาสอันเป็นมงคลนี้อันเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยอันศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดดลบันดาลให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวทั้งสอง จงประสบแต่ความสุขสดชื่น หอมหวน ทุกทิวาราตรีกาลตราบชั่วฟ้าดินสลาย


................................................................................................................................................................................

          ตัวอย่างที่ 3

           3) ท่านที่เคารพทั้งหลาย พิธีมงคลสมรสอันสมเกียรติของเจ้าบ่าวเจ้าสาวในวันนี้ ได้จัดทำลงไปอย่างน่า สรรเสริญปิติยินดี (ผมหรือดิฉัน)มีความรู้สึกว่าได้รับเกียรติอันสูง และอิ่มเอมใจอย่างที่สุดอีกครั้งหนึ่ง นอกจากได้รับเกียรติอันนี้แล้ว ยังได้รับเกียรติให้ขึ้นกล่าวคำอวยพร แก่เจ้าบ่าวเจ้าสาวอีก ซึ่งพรอมกันนี้ (ผมหรือดิฉัน) ขออวยพรให้คู่สมรสทั้งสองจงประสบสิ่งที่หวังตั้งใจไว้ทุกประการไม่ว่า จะมีมารหรือสิ่งใดมาราวีขัดขวาง จงได้พ่ายแพ้ไปสิ้น สามารถฟันฝ่าอุปสรรค ขวากหนามต่าง ๆ จนสามารถดำเนิน ชีวิตไปถึงจุดหมายที่ เขาทั้งสองได้ตั้งใจไว้ ขอให้สมด้วยจตุพิตพรชัย มั่งมีด้วยลาภยศ สรรเสริญ มีชีวิตครอบครัว ที่ผาสุข ตลอดไป ขอบคุณครับ(ค่ะ) 


................................................................................................................................................................................
          ตัวอย่างที่ 4 

          
ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย (ผม ....... หรือ ดิฉัน .......) รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับเชิญมาร่วมในงาน มงคลสมรสของ ....... ในวันนี้ และ (ผมหรือดิฉัน) รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงยิ่งไปกว่านี้ วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่คุณพ่อ คุณแม่ ของเจ้าบ่าวเจ้าสาว จะมีความสุขและอบอุ่นใจ ไม่น้อย ที่ได้มีชีวิตยืดยาวมาจนถึงวันสำคัญของบุตร ไม่มี ความสุขใดที่จะเป็นสุขเท่าเมื่อพ่อและแม่ได้เห็นลูกมีความสุข ในวัยเด็กนั้นพ่อแม่ทุกคน จะปลาบปลื้มภาคภูมิใจเมื่อได้เห็นลูกของตนแสดงความเก่งกล้าเฉลียวฉลาด เฝ้าทะนุถนอมเอาใจใส่ ครั้งเติบใหญ่เจริญวัยขึ้นก็คอยชี้แนะช่องทาง ของการดำเนินชีวิตอันรุ่งโรจน์สดใสให้เดิน การที่ทั้งสองตัดสินใจเข้าสู่พิธีมงคลสมรสมอบร่างกายสละชีวิตจิตใจให้ต่อกันในวันนี้ นับว่าเป็นนิมิตหมาย อันดียิ่ง เป็นการเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ เป็นการเตรียมตัวไปสู่การเป็นพ่อแม่ที่ดี น่าเคารพเทิดทูนบูชาต่อไปในอนาคต ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างความรัก สร้างฐานะให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ยิ่งขึ้น กระผม (ดิฉัน)ขอถือโอกาสนี้ฝากข้อคิดเพื่อเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตด้วยคาถา "หัวใจเศรษฐี" 4 ข้อ คือ
           1. อุฏฐานะสัมปะทา คือ การถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้านในการทำมาหาเลี้ยงชีพ ไม่ นอนรอคอยโชคชะตา
           2. อารักขะสัมปะทา คือ การถึงพร้อมด้วยการรักษาทรัพย์ที่หามาได้ไม่สุลุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย ไม่เล่นการพนัน โดยเฉพาะรู้จักใช้ในทางที่ถูกที่ควร
           3. กัลยาณมิตรตะตา คือ การรู้จักคบคนดีเป็นเพื่อน ไม่คบเพื่อนเป็นนักเลงเที่ยวผู้หญิง เสพสุราเล่นการ พนัน เลือกคบแต่คนที่แนะนำไปในทางที่ดี
           4. สะมะชีวิตา คือ การรู้จักประมาณตนเองในการครองชีพ มีน้อยใช้แต่น้อย ไม่ฟุ้งเฟ้อและเป็นหนี้สินเขา หัวใจเศรษฐีทั้ง 4 ประการนี้ รวมเรียกสั้น ๆ เพื่อง่ายต่อการจดจำก็คือ "อุอากะสะ" กระผม (ดิฉัน)มั่นใจว่า หากทั้งสองปฏิบัติได้ทั้ง 4 ข้อนี้ ก็เชื่อว่าชีวิตการครองเรือนของทั้งสองจะประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ภายในอนาคตอย่างแน่นอน ขออวยพรให้คู่บ่าวสาว จงพบประสบสุข ในชีวิตครองเรือนตลอดไป... ขอขอบพระคุณครับ ..... 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น