วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

ลัทธิศิลปะ

ลัทธิทางศิลปะ
1. ลัทธินีโอคลาสสิค (Neo-Classic)(ค.ศ.1800) ลัทธินี้ ศิลปินเกิดหวนกลับไปมีค่านิยมการสร้างผลงานแบบกรีกและโรมันอีกครั้ง   ซึ่งศิลปินเหล่านี้ชอบความเรียบร้อยและเคร่งครัดในศิลปะแบบโบราณ  ลักษณะผลงานของลัทธินีโอคลาสสิค คือ มักเป็นภาพที่มีระยะใกล้ กลาง ไกล หรือที่เรียกว่า Perspective   ฉากหลังรูปวาดส่วนใหญ่มักมีอาคาร หรือ เสา ของกรีกหรือโรมัน  มักใช้สีมืดๆเป็นระยะ  เน้นหนักไปทางสีน้ำตาล ดำ เขียวและขาว   ศิลปะแบบนีโอคลาสสิครุ่งเรืองอยู่ได้เพราะได้รับการส่งเสริมจากระบอบปฏิวัติ ของพระเจ้านโปเลียน   พวกที่ปฏิวัติเองก็ชอบส่งเสริมให้มีการดำรงชีพที่เคร่งครัดแบบกรีกและโรมัน  ศิลปินที่มีชื่อเสียงคือ เดวิด(David)(ค.ศ. 1748 – 1825)  เป็นศิลปินชาวฝรั่งเศส  ผลงานของเขามักเป็นการวาดภาพที่แสดงถึงความกล้าหาญของวีรบุรุษ   เช่น  LE  SERMENT  DES  HORACES , LA MORTDE   MARAT   คนต่อมาคือ แองก์(Ingres) (ค.ศ.1780-1867) ผลงานของเขาเป็นแบบคลาสสิคเต็มที่  เขามักวาดภาพคนที่ร่ำรวย หน้าตาโหดเหี้ยมและพอใจในอำนาจเงิน  และภาพวาดหญิงสาวเปลือยของเขานั้นสวยงามมาก    และแองก์ยังได้วาดภาพเกี่ยวกับเทพนิยายโบราณอีกด้วย



2. ลัทธิโรแมนติค (Romantic)(เกิด เมื่อ ค.ศ.1820)  ลัทธินี้ เกิดจากศิลปินมีความเบื่อหน่ายความจริงแบบสมัยกรีก โรมัน หรือ ศิลปะแบบคลาสสิค    ศิลปินในกลุ่มนี้จึงชอบสร้างผลงานที่ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติตามกันอยู่ในคติ ที่ว่า  ผลงานที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้   คือ เลิกใช้ภาพแบบประวัติหรือเทพนิยายกรีกแบบโบราณ  รูปที่วาดจะมีคุณค่าได้จะต้องเหมือนเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น หรือ เป็นเรื่องตื่นเต้น  และรูปวาดนั้นจะต้องเป็นเรื่องเหตุการณ์ในยุคกลาง   ชอบแสดงความรู้สึกรุนแรงยุ่งเหยิง    ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น  เจริโคท์(Gericault)(ค.ศ.1719 - 1824) เป็นศิลปินที่ชอบสร้างสรรค์ผลงานที่น่ากลัวและตื่นเต้น  ผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น แพเมดูซา   ภาพหญิงชายชาวอัสจิเรีย   ภาพม้ากำลังเผ่นผงาด   ศิลปินคนต่อมา คือ เดราคัว(Deracroux) ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขา   เช่น   ภาพโชแปงซึ่งเป็นนักดนตรีชื่อดัง    ภาพการประหารชีวิตที่แสดงถึงความเหี้ยมโหด    ศิลปินอีกคน คือ โกย่า
(Goya) (ค.ศ. 1746 - 1828) เป็นศิลปินชาวสเปน  ที่มีผลงานเป็นภาพวาดประเภทน่าเกลียด น่ากลัว แสดงถึงความทรมาน   ผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น  ภาพการประหารกบฏสเปน  โดยพวกฝรั่งเศส  ภาพคนบ้า  หญิงชราที่น่าเกลียดน่ากลัว  ภาพการฆ่าฟันในสงคราม  ภาพการแทงวัวกระทิง  ภาพมายาแต่งกายและภาพมายาเปลือยกาย


3. ลัทธิเรียลลิสม์ (Realism)(เกิด เมื่อปี ค.ศ. 1850)  ลัทธินี้  ศิลปินจะยึดในหลักความเป็นจริงหรือการแสดงความจริง  ซึ่งก้าวสู่ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์  โดยศิลปินมักจะสร้างสรรค์ผลงานออกมาเป็นลักษณะเดียวกัน  เช่น ชอบวาดภาพคคนจนๆ  คนชั้นต่ำ  มีการเยาะเย้ยหรือล้อสังคมของคนชั้นกลางที่ร่ำรวย  และศิลปินเกือบทุกคนมีสัญชาติฝรั่งเศส  ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น  โดเม(DAUMEI)(ค.ศ. 1808 - 1897) เป็นศิลปินที่มีภาพวาดเป็นที่โดดเด่นและมีประชาชนสนใจเป็นจำนวนมาก  ทำให้ประชาชชนมองเห็นอำนาจป่าเถื่อนกดขี่ของทหารหรือตำรวจในเครื่องแบบ  ชี้ให้เห็นถึงความฟอนเฟะของสังคมหรือความสกปรกของนักการเมือง  โดเมได้วาดภาพการ์ตูนล้อเลียนการเมือง  หนักจนถึงขนาดเป็นภาพเสียดสีการทำงานของรัฐบาล จนถูกรัฐบาลสั่งจำคุกหลายครั้ง  ภาพที่มีชื่อเสียง เช่น ภาพถนนทรองซโนแนง (LA RUE TRANSNONAIN)    ภาพคนถูกยิงตายโดยทหาร ศิลปินอีกคนคือ คัวเบาท์ (Courbet) (ค.ศ.1819 - 1877) เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มเรียลลิสม์  ได้เข้าร่วมกับพวกปฏิวัติฝรั่งเศสโดยใช้การเขียนภาพเยาะเย้ยล้อเลียนคนชั้น สูงกับคนชั้นกลาง มีการวาดภาพล้อเลียนถากถางคนชั้นปกครองระดับผู้นำรัฐบาล  เขาจึงถูกคุมขังและต่อมาจึงโดนเนรเทศออกจากฝรั่งเศส  ผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น ภาพทางเดินเล่นริมแม่น้ำเซนต์(LA PROMENADE AU BORD DE LA SENE)   ภาพภาพการฝังศพที่ออนองส์ (I ENTER EMENT AORNANS) ศิลปินอีกคนคือ มาเนท์ (Manet) (ค.ศ.1822 - 1883)  เขาชอบวาดภาพที่แสดงถึงชีวิตธรรมดาของชนทุกชั้น  ภาพที่เห็นมักเป็นภาพพวก ร้านกาแฟเล็กๆ  การเต้นรำของสามัญชนทั่วไป  ภาพนางระบำสเปน และภาพโอลิมเปีย(L’ OLYMPIA) หรือ หญิงเปลือยท่อนบน


4. ลัทธิไอเดียลลิสม์ (IDEALISM) (เกิดเมื่อ ค.ศ.1860) ศิลปินในลัทธิไอเดียลลิสม์ จะมีทัศนคติในการสร้างผลงานดังนี้ คือ แสดงให้เห็นแง่ดีของชีวิต  แสดงความคิดนึกฝันหรือความรู้สึก  ลัทธินี้ประกอบกันหลายชนชาติที่มีทัศนคติตรงกัน  ศิลปินที่มีชื่อเสียงมาจากหลากหลายชาติ  เช่น  คอร์นีเลียส(Cornelius) ชาวเยอรมัน  เขาชอบวาดภาพหญิงสาวโดยใช้เส้นที่อ่อนหวานและใช้สีอ่อนๆ มิลเลซ์ (Millais) ชาวอังกฤษ  เชาชอบวาดภาพโดยเก็บรายละเอียดเสียจนภาพนั้นคล้ายกับภาพถ่าย  ภาพที่มีชื่อเสียงคือ ดอกไม้ริมลำธาร      กุสตาฟ  มอโร(Gustave Moreay) ชาวฝรั่งเศส   เขาชอบวาดภาพจากจินตนาการของเขา  ภาพที่มีชื่อเสียงคือ ความฝันของซาโลเม (LA VISLON DE SALOME)


5. ลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) (เกิดเมื่อ ค.ศ.1875) ลัทธินี้  ถือเอาความงามที่ประทับใจเป็นคุณค่า  ศิลปินตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานเพียงเพื่อแสดงความรู้สึกทางประสาทที่ได้รับจาก สิ่งต่างๆ   มองใกล้อาจไม่สวยงาม  แต่ถ้ามองไกลก็จะเห็นเป็นรูปร่างสวยงาม  มีการลงสีโดยไม่ต้องอาศัยการร่างก่อนคำนึงถึงเฉพาะเรื่องของแสงสี ต้องอาศัยแสงและเวลา  เช่น เช้า กลางวัน เย็น ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น  โมเนท์ (Monot) (ค.ศ.1840 - 1926) เขาชอบวาดภาพสิ่งๆหนึ่งซ้ำหลายๆหน บรรยากาศและเวลาแตกต่างกัน   เช่น ภาพวัดคาเทคราลรูอังที่มีเวลาต่างกัน  เช้า กลางวัน เย็น   ภาพสระน้ำที่เต็มไปด้วยดอกบัว(LOTUS NYMPHCAS)
ศิลปินอีกคน คือ เซอร์ราท(Soret) (ค.ศ.1849 - 1891) เขามักวาดภาพโดยใช่พู่กันแต้มสีน้ำมันลงไปเป็นจุดๆ เป็นระยะ  เมื่อเวลาดูจะเห็นว่าสีสันต่างๆเกิดการผสมด้วยตาของตนเอง  จนมีการเรียกว่า จุดมหัศจรรย์ของเซอร์ราท  ภาพที่มีชื่อเสียง คือ สวนสาธรณะ
6. ลัทธิโพสต์ อิมเพรสชั่นนิสต์(Post Impressionism) (เกิคราวตอนปลายศตวรรษที่ 19)  เป็นลัทธิที่เป็นการนำเสนอผลงานศิลปะแบบสมัยใหม่   มีศิลปินที่สำคัญคือ โกแกง(Cauguin)   แวนโก๊ะ หรือ ฟาน ก๊อก(Van Gogh) และ เซซาน (Cezannc)
ในที่นี้ขอกล่าวถึงแวนโก๊ะเพียงคนเดียว เพราะเขาเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างมาก  ผลงานของเขาได้รับการยกย่องว่า งดงามที่สุดจนไม่มีจิตรกรท่านใดเทียบเคียงได้   แวนโก๊ะเกิดในฮอลันดา  เขาเป็นคนชอบวาดภาพ  ภายหลังย้ายมาอยู่ที่ฝรั่งเศส  เขาเอาแต่เขียนภาพ  ไม่สนใจตัวเองหรือสิ่งใดเลย แม้กระทั่งสุขภาพของตนเอง  เขาจึงมีสติวิปลาสถึงขนาดเคยตัดหูตนเอง เคยเอาเลือดของคนเองมาวาดรูป    ในปี 1890  เขามีสติฟั่นเฟือนมากขึ้น จึงฆ่าตัวตาย   รูปแบบการสร้างสรรค์ผลงานของเขามีการลงสีเป็นลายหนาๆ  สีสดฉูดฉาด   ภาพพื้นหลังมีลายหมุนเวียน  และมีการแต้มจุด  ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขามีมากมาย  เช่น  ภาพชาวบ้านฮอลันดา  ภาพตัวเขาเอง   ภาพท้องฟ้ากลางคืนที่มีดาวระยิบระยับ

7. ลัทธิคิวบิสม์ (Cubism) ลัทธินี้  ศิลปินต้องการแสดงถึงความยุ่งเหยิง  ภาพส่วนใหญ่มีรูปทรงเรขาคณิต และ มักเป็นทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์  ศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ ปิกาสโซ (Picasso) เขาเกิดที่สเปน  แต่ย้ายมาอยู่ฝรั่งเศสในภายหลัง  เขาชอบวาดภาพแบบเซซานและโลเทรค  นิยมใช้สีชมพูและสีฟ้าเป็นหลัก  ต่อมาเขาเริ่มมีผลงานที่เป็นแนวคิวบิสม์เด่นชัดมากขึ้น  เริ่มวาดภาพคน ชายหรือหญิงที่ตัวใหญ่ๆ มีเรือนร่างผิดปกติ  มีรูปทรงแบบเรขาคณิต  มีตา จมูก ปากสลับที่กัน  ปิกาสโซได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่  และเป็นผู้บุกเบิกแนวศิลปะสมัยใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม

8. ลัทธิแอสแตรค (Astract)  มาจาก แอบสแตรค  ที่หมายถึง นามธรรม   ศิลปินมีการสร้างสรรค์ผลงานโฑดยการคำนึงถึงเส้นและสีเท่านั้น  มีลวดลายค้ายลายผ้า  ลายพรม หรือ ลายกระเบื้องปูพื้น  ศิลปินที่มีชื่อเสียง  เช่น  คองดินสกี(Kandinsky)   มองดีออง (Mondrian)   และ  วิลอง (Villon)

9. ลัทธิเอ๊กซ์เพรสชั่นนิสม์ (Expressionism) (เกิดราว ค.ศ. 1920) ศิลปินมีการสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงความรู้สึกต่างๆและความประทับใจในธรา มชาติลงฉับพลัน  ทั้งความรู้สึกรุนแรง  บ้าระห่ำ  เกลียดชัง  ทารุณ  ความเจ็บปวดทางร่างกาย  ทรมาน  น่าเกลียดน่ากลัว  เป็นการมองโลกในแง่ร้าย  มีความเชื่อมั่น แสงสี  การรับรู้โลกภายนอก   ตอบสนองด้วยความรู้สึกของตนเอง  ศิลปินที่มีชื่อเสียง  เช่น  รูโอล (Rioalt)   โดคอซกา (Kokoschka)    เดียโก  ริเวรา (Diego Rivera)และ บลูม (Blume)

10. ลัทธิเซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism)  ลัทธินี้มีความเชื่อว่า  ความจริงของมนุษย์ไมได้เกิดที่การรับรู้เพียงอย่างเดียว  คุณค่าอยู่ที่ความหวัง  ความฝัน  ความต้องการที่ไม่สามารถมองเห็นได้เพราะถูกสังคมบังคับ  มีความรู้สึกเก็บกด  ศิลปินจึงมักวาดภาพตามความฝัน จินตนาการของตน  ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น  อังเดร เบรตอง(Andre  Breton)

11.ลัทธิฟิวเจอร์ริสม์ (Futurism) ลัทธินี้มีความเชื่อว่า  ชีวิตปัจจุบันเกี่ยวข้องกับความเร็ว  เครื่องจักร  เครื่องทุ่นแรงต่างๆ  ศิลปินมักมีการวาดภาพที่แสดงความเร็วของคนหรือสัตว์  เครื่องจักร โดยพยายามเน้นความหมายของอนาคต

12. ลัทธิโฟวิสต์ (Fourism)  ลัทธินี้  ศิลปินมีการสร้างผลงานที่แสดงถึงความป่าเถื่อน  ความรุนแรงของสังคมมนุษย์  คนอยู่ในสภาวะเก็บกด  เลือกเอาสัตว์มาเป็นเรื่องราวในการเขียนรูป  แสดงความรู้สึกของคนที่มีต่อสัตว์  มีความเอ็นดูสงสารสัตว์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น