วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

10อันดับ คนไอคิวสูงสุดในโลก อัจฉริยะมาก

10อันดับ คนไอคิวสูงสุดในโลก อัจฉริยะมาก


คนไอคิวสูงสุดในโลก
โดยปกติแล้ว มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ จะมีไอคิวอยู่ที่ 90 – 110 แต่สำหรับอัจฉริยะบุคคลแล้วแน่นอนว่ามันเกินกว่านั้น ไม่เช่นนั้นจะเรีบกว่าเขาว่าอัจฉริยะได้ยังไงล่ะ
เว็บไซต์ฮัฟฟิงตัน โพสต์ ได้เปิดเผย 10รายชื่อของเหล่าอัจฉริยะรอบโลกที่มีความฉลาดเป็นเลิศในด้านต่างๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ และประสบความสำเร็จมาได้อย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว แน่นอนว่าไอคิวของเขาไม่ธรรมดาแน่ แต่จะสูงแค่ไหน และเก่งในเรื่องใด ลองมาดูทั้ง 10อันดับ คนไอคิวสูงสุดในโลก อัจฉริยะมาก
คนไอคิวสูงสุดในโลก1. เทอเรนซ์ เต๋า วัย 36 ปี (IQ: 230)
เท อเรนซ์ เต๋า เดิมเป็นชาวออสเตรเลีย (ต่อมาได้รับสัญชาติอเมริกันอีกสัญชาติหนึ่ง) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เมื่ออายุ 20 ปี และได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ที่ภาควิชาคณิตศาสตร์ที่ UCLA เมื่ออายุเพียง 24 ปี ทำให้เขาเป็นผู้มีอายุน้อยที่สุดที่เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ ของสถาบันดังกล่าว ทั้งนี้เขายังได้แสดงอัจฉริยภาพอันน่าทึ่งมาตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น เป็นผู้อายุน้อยที่สุดที่เคยได้รับเหรียญทองในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก ระหว่างประเทศ เมื่ออายุ 13 ปี
คนไอคิวสูงสุดในโลก2. คริสโตเฟอร์ ฮิราตะ วัย 30 ปี (IQ: 225)
คริสโตเฟอร์ ฮิราตะ เป็นอีกหนึ่งหนุ่มผู้มีไอคิวสูงเป็นเลิศ เขาได้เข้าเรียนที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย หรือ แคลเทค ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแถวหน้าในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่อายุ 14 ปี หลังจากนั้น ขณะที่เขาอายุ 16 ปี เขายังได้ร่วมบุกเบิกดาวอังคารร่วมกับองค์การนาซา ก่อนที่จะได้รับปริญญาเอกสาขาดาราศาสตร์ฟิสิกส์เมื่ออายุ 22 ปี
คนไอคิวสูงสุดในโลก3. คิม อึง ยอง วัย 50 ปี (IQ: 210)
คิม อึง ยอง อาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก การันตีโดยกินเนสส์บุ๊คเลยก็ว่าได้ เพราะคิมสามารถอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ และเมื่อถึงวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคูลัสที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี นอกจากนี้ คิมยังเป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3-6 ขวบ จนกระทั่งอายุ 7 ขวบ นาซาได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยโคโรลาโด พร้อมกับเริ่มทำงานวิจัยที่นาซาไปด้วย ในปี 1974 (พ.ศ. 2517) จนได้ปริญญาเอกด้านฟิสิกส์ ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 ปีเสียอีก
คนไอคิวสูงสุดในโลก4. ริค รอสเนอร์ วัย 52 ปี (IQ: 192)
ริ ชาร์ด จี รอสเนอร์ หรือ ริค รอสเนอร์ ผู้เขียนบทโทรทัศน์ ทำงานกับ จิมมี่ คิมเมล แต่ดูเหมือนว่าเขาคนนี้จะเป็นอัจฉริยะที่แปลกกว่าพวกเสียหน่อย เพราะในความจริงแล้วเมื่อพลิกดูประวัติการทำงานของเขา ก็พบว่า ริค เคยเป็นนักเต้นระบำเปลื้องผ้า พนักงานเสิร์ฟติดล้อ เป็นยาม แล้วก็ยังเป็นนายแบบนู้ดอีกด้วยนะ
คนไอคิวสูงสุดในโลก5. แกรี่ คาสปารอฟ วัย 49 ปี (IQ: 190)
แก รี่ คาสปารอฟ ชาวรัสเซีย เชื้อสายยิว-อาร์เมเนีย เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักหมากรุกสากลที่เก่งที่สุดในโลกตั้งแต่เคยมีเกม นี้มา แกรี่ คาสปารอฟ ครองแชมป์โลกหมากรุกสากลในปี พ.ศ. 2528 – 2543 ก่อนจะประกาศอำลาวงการหมากรุกสากลอย่างเป็นทางการและผันตัวเองไปเป็นนัก เคลื่อนไหวทางการเมืองในปี พ.ศ. 2548 เขามีสไตล์การเล่นหมากรุกที่เน้นไปในทางการใช้กลยุทธ์ที่แยบยล พิสดาร และลึกล้ำเป็นหลัก ปัจจุบัน แกรี่ คาสปารอฟ เขียนตำราและบทวิเคราะห์ทางหมากรุกสากลไว้หลายเล่ม ซึ่งล้วนทรงคุณค่ามหาศาลต่อวงการหมากรุกและศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เช่น การออกแบบปัญญาประดิษฐ์
คนไอคิวสูงสุดในโลก6. เจมส์ วู้ดส์ วัย 65 ปี (IQ: 180)
เจมส์ วู้ดส์ สามารถทำข้อสอบ SAT เป็นข้อสอบมาตรฐานสำหรับการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถานบันอุดมศึกษาในระบบการ ศึกษาของสหรัฐอเมริกา ในส่วนของข้อสอบการใช้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ได้ 779 คะแนน และ Verbal 800 คะแนน หลังจากนั้นเขาก็ได้เข้ามาเป็นครูสอนวิชาพีชคณิต ที่ UCLA ในขณะที่กำลังเรียนไฮสคูลอยู่
คนไอคิวสูงสุดในโลก7. เซอร์ แอนดรูว์ วิลลิส วัย 59 ปี (IQ: 170)
เซอร์ แอนดรูว์ วิลลิส นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ สามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ยากที่สุดในโลกได้ นั่นคือ ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มาต์ (Fermat’s Last Theorem) ซึ่งเป็นทฤษฎีบทที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ของคณิตศาสตร์ ตลอดระยะเวลา 358 ปี ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ถูกต้องเลย
คนไอคิวสูงสุดในโลก8. พอล อัลเลน วัย 59 ปี (IQ: 170)
พอ ล อัลเลน เป็นคู่หูผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ร่วมกับ บิล เกตส์ เขายังเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดลำดับที่ 48 ตามการจัดอันดับความมั่งคั่งที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 14.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ …ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและเป็นประธานของ วัลแคน อิงค์ มีพอร์ตการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ ที่รวมถึงบริษัทเอฟรีและกิสต์ นอกจากนี้ พอล อัลเลน ยังเป็นเจ้าของสองทีมกีฬาอาชีพ ซึ่งได้แก่ ซีแอตเทิล ซีฮอว์ค ของเอ็นเอฟแอล (NFL) และพอร์ตแลนด์ เทรลเบลเซอร์ส ของเอ็นบีเอ (NBA) และที่สำคัญแม้จะเห็นได้ว่าเขามีรายได้มากมายมหาศาล แต่เขาก็เป็นนักการกุศลชาวอเมริกันตัวยงคนหนึ่งเช่นกัน
คนไอคิวสูงสุดในโลก9. จูดิต โพลการ์ วัย 35 ปี (IQ: 170)
จู ดิต โพลการ์ หญิงสาวผู้ซึ่งเป็นยอดฝีมือหมากรุกฝ่ายหญิง จากการอบรมฝึกฝนจากพ่อในการเล่นหมากรุกตั้งแต่วัยเยาว์ ในที่สุดเธอก็สามารถเอาชนะพ่อได้ตั้งแต่อยู่ในวัยเพียง 5 ขวบเท่านั้น และที่ยิ่งไปกว่านั้น จูดิต โพลการ์ ยังสามารถเอาชนะได้ถึงระดับแกรนด์มาสเตอร์ ตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี ทำลายสถิติโลกเดิมที่ผู้ชายทำไว้ก่อนหน้าลงอย่างราบคาบ
คนไอคิวสูงสุดในโลก10. สตีเฟน ฮอว์คิง วัย 70 ปี (IQ: 160)
สตี เฟน ฮอว์คิง นักฟิสิกส์ทฤษฎีและนักจักรวาลวิทยา ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ฮอว์คิงเป็นโรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อมถอย หรือที่เรียกว่า ALS อันเป็นอาการผิดปกติของระบบประสาทโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอลงจนเกือบเป็นอัมพาต แต่เขายังคงทำงานวิชาการต่อไป จนกระทั่งมีชื่อเสียงจากการถอดรหัสความลึกลับของจักรวาล จากบทความวิจัยเกี่ยวกับฟิสิกส์ของเวลา โดยเขาได้ทำนายว่าเวลาน่าจะมีจุดเริ่มต้นที่บิ๊กแบง (หรือจุดกำเนิดของเอกภพ) และมีจุดจบที่ใจกลางของหลุมดำ อีกทั้งยังมีผลงานหนังสือ ประวัติย่อของกาลเวลา (A Brief History of Time) และจักรวาลในเปลือกนัท (The Universe in a Nutshell) ซึ่งอยู่ในรายการขายดีที่สุดของบริติชซันเดย์ไทมส์ทำลายสถิตินานถึง 237 สัปดาห์
thank :: เว็บไซต์ฮัฟฟิงตัน /thaiza.com

10อันดับ คนไอคิวสูงสุดในโลก อัจฉริยะมาก


โรคไบโพลาร์ หรือ อาการคนสองบุคลิก

โรคไบโพลาร์ หรือ อาการคนสองบุคลิก

   

     ชื่อ ภาษาไทยของโรคนี้ ชื่ออาจฟังดูแปลกๆ แต่ถ้าได้อ่านจบแล้ว ก็จะเห็นว่าลักษณะของโรคนี้เป็นแบบนั้นจริงๆ หรือหากมีใครอยากจะเสนอชื่อใหม่ที่คิดว่าน่าจะเข้าท่ากว่านี้ก็ยินดีนะครับ  โรคอารมณ์สองขั้วเป็นความผิดปกติทางอารมณ์ ผู้ที่เป็นจะมีอารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน 2 แบบ แบบแรกมีลักษณะอารมณ์และพฤติกรรมออกเป็นแบบซึมเศร้า แบบที่สองมีลักษณะคึกคักพลุ่งพล่าน  ซึ่งเรียกว่าเมเนีย (mania)
    จาก ภาพจะเห็นว่าผู้ที่เป็นจะอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปจากปกติเป็นช่วงๆ โดยเป็นแบบซึมเศร้าตามด้วยช่วงเวลาที่เป็นปกติดี จากนั้นอีกเป็นปีอาจเกิดอาการแบบเมเนียขึ้นมา บางคนอาจเริ่มต้นด้วยอาการแบบเมเนียก่อนก็ได้ และไม่จำเป็นต้องตามด้วยอาการด้านตรงข้ามเสมอไป เช่น อาจมีอาการแบบ ซึมเศร้า - ปกติ – ซึมเศร้า - เมเนีย
 


 เขามีอาการอย่างไร  
              ผู้ ที่เป็นจะมีอาการแสดงออกมาทั้งในด้านอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม โดยในแต่ละระยะจะมีอาการนานหลายสัปดาห์ จนอาจถึงหลายเดือนหากไม่ได้รับการรักษา
           ในระยะซึมเศร้า ผู้ที่เป็นจะรู้สึกเบื่อหน่ายไปหมด จากเดิมชอบอ่านหนังสือพิมพ์ ติดละคร หรือดูข่าว ก็ไม่สนใจติดตาม อะไรๆ ก็ไม่เพลินใจไปหมด คุณยายบางคนหลานๆ มาเยี่ยมจากต่างจังหวัดแทนที่จะดีใจกลับรู้สึกเฉยๆ   บางคนจะมีอาการซึมเศร้า อารมณ์อ่อนไหวง่าย ร้องไห้เป็นว่าเล่น  บางคนจะหงุดหงิด ขวางหูขวางตาไปหมด ทนเสียงดังไม่ได้ ไม่อยากให้ใครมาวุ่นวาย  อาการเบื่อเป็นมากจนแม้แต่อาหารการกินก็ไม่สนใจ บางคนน้ำหนักลดฮวบฮาบสัปดาห์ละ 2-3 กก.ก็มี 
           เขาจะนั่งอยู่เฉยๆ ได้เป็นชั่วโมงๆ  ความ จำก็แย่ลง มักหลงๆ ลืมๆ เพราะใจลอย ตัดสินใจอะไรก็ไม่ได้ เพราะไม่มั่นใจไปเสียหมด เขาจะมองสิ่งต่างๆ ในแง่ลบไปหมด คิดว่าตัวเองเป็นภาระของคนอื่น ไม่มีใครสนใจตนเอง ถ้าตายไปคงจะดีจะพ้นทุกข์เสียที  หากญาติหรือคน ใกล้ชิดเห็นเขามีท่าทีบ่นไม่รู้จะอยู่ไปทำไม หรือพูดทำนองฝากฝัง สั่งเสีย อย่ามองข้ามหรือต่อว่าเขาว่าอย่าคิดมาก แต่ให้สนใจพยายามพูดคุยกับเขา รับฟังสิ่งที่เขาเล่าให้มากๆ ถ้ารู้สึกไม่เข้าใจหรือมองแล้วไม่ค่อยดี ขอแนะนำให้รีบพาไปพบแพทย์เพื่อรักษาโดยเร็ว

            ในทางตรงกันข้าม ในระยะเมเนีย เขาจะมีอาการเปลี่ยนไปอีกขั้วหนึ่งเลย เขาจะมั่นใจตัวเองมาก รู้สึกว่าตัวเองเก่ง ความคิดไอเดียต่างๆ แล่นกระฉูด เวลาคิดอะไรจะมองข้ามไป 2-3 ช็อตจนคนตามไม่ทัน การพูดจาจะลื่นไหลพูดเก่ง คล่องแคล่ว มนุษยสัมพันธ์ดี เรียกว่าเจอใครก็เข้าไปทักไปคุย เห็นใครก็อยากจะช่วย 
           ช่วง นี้เขาจะหน้าใหญ่ใจโต ใช้จ่ายเกินตัว ถ้าเป็นคุณตาคุณยายก็บริจาคเงินเข้าวัดจนลูกหลานระอา ถ้าเป็นเจ้าของบริษัทก็จัดงานเลี้ยง แจกโบนัส มีโครงการโปรเจคต่างๆ มากมาย   
พลัง ของเขาจะมีเหลือเฟือ นอนดึกเพราะมีเรื่องให้ทำเยอะแยะไปหมด ตีสี่ก็ตื่นแล้ว ตื่นมาก็ทำโน่นทำนี่เลย ด้วยความที่เขาสนใจสิ่งต่างๆ มากมาย จึงทำให้เขาวอกแวกมาก ไม่สามารถอดทนทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานๆ
          เขาทำงานเยอะ แต่ก็ไม่เสร็จเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง (เหมือนผู้เขียนเลยแฮะ) ความยับยั้งชั่งใจตนเองมีน้อยมากเรียกว่าพอนึกอยากจะทำอะไรต้องทำทันที หากมีใครมาห้ามจะโกรธรุนแรง  อาการในระยะนี้หากเป็นมากๆ จะพูดไม่หยุด เสียงดัง เอาแต่ใจตัวเอง โกรธรุนแรงถึงขั้นอาละวาดถ้ามีคนขัดขวาง
 

          อาการ ระยะซึมเศร้าจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป มักเป็นหลังมีเรื่องกระทบกระเทือนใจ เช่น สอบตก เปลี่ยนงาน มีปัญหาครอบครัว แต่จะต่างจากปกติคือเขาจะเศร้าไม่เลิก งานการทำไม่ได้ ขาดงานบ่อยๆ มักเป็นนานเป็นเดือนๆ 
          อาการระยะเมเนียมักเกิดขึ้นเร็ว และเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนภายใน 2-3 สัปดาห์ อาการจะเต็มที่อารมณ์รุนแรง ก้าวร้าวจนญาติจะรับไม่ไหวต้องพามาโรงพยาบาล อาการในครั้งแรกๆ จะเกิดหลังมีเรื่องกดดัน แต่หากเป็นหลายๆ ครั้งก็มักเป็นขึ้นมาเองโดยที่ไม่มีปัญหาอะไรมากระตุ้นเลย 
        ข้อสังเกตประการหนึ่งคือคนที่อยู่ในระยะเมเนียจะไม่คิดว่าตัวเองผิดปกติ มองว่าช่วงนี้ตัวเองอารมณ์ดีหรือใครๆ ก็ขยันกันได้  ในขณะที่หากเป็นระยะซึมเศร้าคนที่เป็นจะพอบอกได้ว่าตนเองเปลี่ยนไปจากเดิม

           ในระยะซึมเศร้าหากคนใกล้ชิดสนใจมักสังเกตไม่ยากเพราะเขาจะซึมลงดูอมทุกข์  แต่ อาการแบบเมเนียจะบอกยากโดยเฉพาะในระยะแรกๆ ที่อาการยังไม่มาก เพราะดูเหมือนเขาจะเป็นแค่คนขยันอารมณ์ดีเท่านั้นเอง แต่ถ้าสังเกตจริงๆ ก็จะเห็นว่าลักษณะแบบนี้ไม่ใช่ตัวตนของเขา เขาจะดู เวอร์ กว่าปกติไปมาก



 ว่าแต่เพื่อนๆล่ะครับมีอาการแบบนี้หรือมีคนรู้จักที่เป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า??


ขอฝากกระทู้ด้วยนะครับ


T^T "ตาลอบ-ยายทอง" ปิดตำนานความรักเหนือกาลเวลา ( ต้นแบบเรื่อง HAPPY BIRTHDAY และ เพลง"คนไม่มีเวลา" )

เดจาวู ปรากฏการณ์ปริศนาที่หลายๆคนเคยเจอ ( มาดูกันดีกว่าว่ามันคืออะไร )


ข้อเท็จจริงของอาชีพแพทย์ !! ( มาดูข้อเท็จจริงของพวกหมอๆกัน )




ใครไม่เม้นต์อย่างน้อยก็ช่วยโหวตด้วยนะครับ

เจาะลึกข้อมูล ไวรัสตับอักเสบบี

เจาะลึกข้อมูล ไวรัสตับอักเสบบี

เจาะลึกข้อมูล ไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบี

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ได้ยินชื่อกันอยู่บ่อย ๆ สำหรับ ไวรัสตับอักเสบบี หรือ โรคไวรัสตับอักเสบบี แต่หลายคนก็ยังไม่ทราบว่า ไวรัสตับอักเสบบี เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีอันตรายมากน้อยขนาดไหน วันนี้เรามาเจาะลึกเรื่อง ไวรัสตับอักเสบบี กันดีกว่า

          ไวรัสตับอักเสบบี คือ โรคตับอักเสบ ชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากเชื้อไวรัส บี แต่ถ้าหากเกิดจากเชื้อไวรัสตัวอื่น ๆ เช่น ไวรัส เอ ไวรัส ซี ก็จะเรียกชื่อต่าง ๆ กันไป แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการคล้ายคลึงกัน เพียงแต่ ไวรัสตับอักเสบบี เป็นตัวที่อันตรายและรุนแรงมากที่สุด เพราะเชื้อไวรัสจะซ่อนตัวอยู่ในคน ก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งตับ , ตับอักเสบเรื้อรัง หรือตับแข็งได้

การระบาดของ ไวรัสตับอักเสบบี ในประเทศไทย

          ในประเทศไทยพบผู้ป่วย ไวรัสตับอักเสบบี มานานแล้ว และพบค่อนข้างมาก โดยใน 100 คน จะพบคนที่เป็นพาหะ ไวรัสตับอักเสบบี อยู่ประมาณ 8-10 คน ซึ่งคนที่เป็นพาหะนั้น ไม่ได้เป็นโรค ไม่มีอาการป่วยไวรัสตับอักเสบบี เพียงแต่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่ในร่างกายนานเกิน 6 เดือนขึ้นไป และสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่น ซึ่งสามารถตรวจเลือดพิสูจน์ได้ว่า เป็นพาหะหรือไม่

          ปัจจุบันมีการคาดคะเนกันว่า มีคนไทยประมาณ 5 ล้านคน เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี ขณะที่คนทั่วโลกมีผู้เป็นพาหะประมาณ 200 ล้านคน โดยจะพบมากที่ตอนกลางของแอฟริกา ตอนใต้ของประเทศจีน ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศที่ด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนาทั้งสิ้น และในผู้ใหญ่ทุก ๆ 100 คน จะมีคนที่เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี นี้มาแล้ว 50 คน คือครึ่งต่อครึ่งนั่นเอง

การติดต่อของ ไวรัสตับอักเสบบี

          เชื้อไวรัสตับอักเสบบีนี้จะพบในเลือดมากที่สุด รองลงมาพบในน้ำลาย น้ำตา น้ำอสุจิ น้ำเมือกในช่องคลอด น้ำดี และน้ำนมของผู้ป่วย หรือผู้ที่เป็นพาหะ และสามารถติดต่อกันได้ผ่านช่องทางเดียวกับการติดต่อโรคเอดส์ คือ

 1. ทางเพศสัมพันธ์ 

          ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์ปกติ หรือแบบรักร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จึงถือว่า โรคไวรัสตับอักเสบบี จัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคหนึ่ง

 2. ทางเลือดและน้ำเหลือง

          เช่น การถ่ายเลือด หรือการฟอกเลือดด้วยไตเทียม ซึ่งเลือดทุกขวดที่จะถ่ายไปสู่ผู้อื่น หรือที่ได้รับการบริจาคมา ต้องได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเสียก่อน

 3. การใช้สิ่งของร่วมกัน

          เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การฝังเข็ม การสัก การเจาะหูที่ไม่สะอาด การใช้มีดโกน มีดตัดเล็บ หรือ แปรงสีฟัน ร่วมกัน

 4. จากแม่สู่ลูก

          แม่ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อไปยังลูกได้ขณะกำลังคลอด โดยหากแม่มีเชื้อนี้อยู่ ลูกมีโอกาสที่จะได้รับเชื้อด้วยถึง 90% และส่งผลอันตรายต่อทารก

          ทารกที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จากหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี หรือป่วยเป็นโรคนี้ จะไม่สามารถกำจัดเชื้อให้หมดไปได้เอง เหมือนกับผู้ใหญ่ที่ได้รับเชื้อมาจากสาเหตุอื่น โดยทารกแรกเกิดมักไม่มีอาการว่า ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบบี แต่จะกลายเป็นพาหะเรื้อรังนานหลายสิบปี หรือตลอดชีวิต และเมื่อทารกเหล่านี้โตขึ้นอยู่ในวัยกลางคน จะมีโอกาสเป็นโรคตับเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ โดยเพศชายจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคทางตับมากกว่าเพศหญิง ส่วนเพศหญิงก็จะเป็นพาหะถ่ายทอดโรคไปสู่ลูกต่อไป ดังนั้น เพื่อเป็นการตัดวงจร เด็กทารกทุกคนที่เพิ่งคลอดมา ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี เพื่อป้องกันไม่ให้โรคดำเนินต่อไป

 5. ทางบาดแผล ผิวหนัง

          หากผู้มีเชื้อมีบาดแผลถลอก ก็อาจทำให้เกิดการติดต่อได้เช่นกัน

          อย่างไรก็ตาม ไวรัสตับอักเสบบี นี้ไม่ติดต่อกันผ่านทางการสัมผัสทางผิวหนัง กอด จูบ การมองหน้า ไอจามรดกัน รวมทั้งการทานอาหารและน้ำ แต่เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน หากเราไม่แน่ใจก็ควรใช้ช้อนกลาง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากน้ำลายของผู้ที่เป็นพาหะ

กลุ่มเสี่ยงติด ไวรัสตับอักเสบบี

          เนื่องจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี สามารถติดต่อผ่านทางของเหลวของร่างกายผู้ป่วย หรือผู้ที่เป็นพาหะได้ ดังนั้น บุคคลดังต่อไปนี้จึงมีความเสี่ยงสูงในการรับเชื้อ

           1. คนที่ใช้ยาเสพติด ฉีดเข้าหลอดเลือด

           2. ชายรักร่วมเพศ

           3. ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย

           4. ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

           5. คนที่เกิดในถิ่นที่มีการระบาดสูง
  
           6. เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการ

           7. บุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี

อาการของผู้ติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี

          ส่วนใหญ่ผู้ที่ติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี มักไม่มีอาการป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก โดยผู้ป่วยจะมีอาการเพลีย เบื่ออาหาร อาจมีไข้ต่ำ ๆ ในวันแรก ๆ มีอาการจุกแน่นท้อง ปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง มีปัสสาวะสีเข้ม อาการเหมือนดีซ่าน เป็นอยู่ 2-3 สัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วจะหายเป็นปกติ มีเพียงส่วนน้อยที่อาจทำให้ตับเสีย มีอาการเพ้อคลั่ง ซึม มีน้ำในท้อง ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด

          ทั้งนี้ ระยะฟักตัวของเชื้อนี้ คือ 30 - 180 วัน โดยเฉลี่ยคือ 60 - 90 วัน โดยทั่วไปผู้ที่ได้รับเชื้อร้อยละ 90 จะสามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้ และหายเป็นปกติ พร้อมกับสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้ตลอดชีวิต ซึ่งเราสามารถตรวจเลือด เพื่อตรวจสอบว่ามีภูมิต้านทานโรคไวรัสตับอักเสบหรือไม่ได้

          อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางคนที่ยังมีเชื้ออยู่ในร่างกายอยู่ หรือเรียกว่าเป็นพาหะ แต่ตับยังทำงานได้ตามปกติ ไม่เกิดความผิดปกติแต่อย่างใด แต่ผู้ที่เป็นพาหะนี้ ก็มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งตับมากกว่าคนปกติถึง 223 - 250 เท่า และเกือบครึ่งหนึ่งของผู้เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะเสียชีวิต เนื่องจากโรคตับอักเสบเรื้อรัง, ตับแข็ง และมะเร็งตับ แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่จะเป็นโรคตับร้ายแรงเหล่านี้ จะต้องมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในตัวนานกว่า 20-30 ปีขึ้นไป นั่นคือ ต้องได้รับเชื้อมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง

หากรู้ว่าเป็นพาหะ ไวรัสตับอักเสบบี ควรทำอย่างไร

          ผู้ที่เป็นพาหะ ไวรัสตับอักเสบบี ควรปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้

           1. รักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารที่มีประโยชน์ และสามารถทานอาหารร่วมกับผู้อื่นได้ โดยใช้ช้อนกลาง

           2. หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตับ เช่น การทานยาบางชนิด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารพิษจากเชื้อรา เป็นต้น

           3. หากพบอาการผิดปกติ เช่น เท้าบวม ท้องบวม อุจจาระเป็นสีดำ ตัวเหลือง ตาเหลือง ควรรีบปรึกษาแพทย์

           4. เจาะเลือดปีละครั้ง เพื่อตรวจการทำงานของตับ และตรวจหาสารแอลฟา ฟีโตโปรตีน (Alpha Fetoprotein) ในเลือด ที่บ่งบอกว่าจะเกิดมะเร็งตับหรือไม่ และจะตรวจถี่ขึ้นในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปี

           5. งดบริจาคเลือด และแยกใช้ข้าวของเครื่องใช้ เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่น

           6. ให้บุคคลใกล้ชิดเข้ารับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี เพื่อสร้างภูมิต้านทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กแรกเกิดควรได้รับการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม การให้วัคซีนแก่ผู้ที่เป็นพาหะแล้ว ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสให้หมดไปได้

หากรู้ว่าเป็น ไวรัสตับอักเสบบี ควรทำอย่างไร

          แม้ส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี จะสามารถหายได้เอง และสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้ แต่เมื่อตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ก็ควรปฏิตัวดังนี้

           1. ทานยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

           2. ตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทราบอาการว่า เป็นมากหรือน้อย

           3. บอกคนใกล้ชิดให้ทราบ เพื่อป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน

           4. งดการบริจาคเลือดโดยเด็ดขาด

           5. ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะส่งผลร้ายต่อตับ

           6. ไม่ควรใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะจะมีผลต่อตับโดยตรง

           7. พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะจะทำให้การอ่อนเพลียลดลง

           8. สวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันเชื้อที่จะส่งต่อไปยังผู้อื่น

           9. ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันสูง น้ำหวาน เพราะจะทำให้เกิดไขมันสะสมที่ตับ จึงควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย และมีประโยชน์ต่อร่างกาย

การรักษา  ไวรัสตับอักเสบบี
               
          ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีโดยตรง เป็นเพียงแค่การรักษาตามอาการเท่านั้น แต่ดังที่กล่าวข้างต้น ร้อยละ 90 ของผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ มีเพียงส่วนน้อยที่จะเกิดอันตรายขึ้น แต่ในบางรายที่มีอาการตับอักเสบร่วมด้วย ก็อาจฉีดยา หรือให้กินยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการเสื่อมของตับ

การป้องกัน ไวรัสตับอักเสบบี

          สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี สามารถป้องกันได้โดย

           หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ร่วมกันคนไข้ หรือคนที่เป็นพาหะ

           หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือด น้ำเลือด น้ำลาย ของคนไข้ หรือคนที่เป็นพาหะ

           ตรวจสอบความสะอาดของอุปกรณ์ เช่น เข็มฉีดยา เข็มสำหรับเจาะหู การฝังเข็ม ว่าเป็นของใหม่ หรือผ่านการฆ่าเชื้อโรคมาแล้วเป็นอย่างดี

           รักษาสุขอนามัยให้สะอาดอยู่เสมอ รวมทั้งการเลือกรับประทานอาหาร และน้ำด้วย

           ใช้ช้อนกลาง ในการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น

           ไม่ส่ำส่อนทางเพศ และใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

           ฉีดวัคซีน เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบ

การฉีดวัคซีนป้องกัน ไวรัสตับอักเสบบี

          วัคซีนป้องกัน ไวรัสตับเสบบี มีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้น ผู้ที่จะฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ต้องตรวจเลือดก่อนว่าเคยได้รับเชื้อหรือไม่ เพราะผู้ที่เคยได้รับเชื้อและหายขาด จะทำให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อสู้โรคนี้ไปตลอดชีวิต หรือหากใครที่เป็นพาหะแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอีก เพราะจะไม่สามารถช่วยทำให้เชื้อหมดไปจากร่างกายได้ โดยการตรวจเลือด จะตรวจกันอยู่ 3 อย่างคือ

           1. ตรวจ HBs Ag หรือตรวจการติดเชื้อ หรือเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี

           2. ตรวจภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่ HBs Ab หรือ anti HBs

           3. ตรวจภูมิคุ้นเคยต่อไวรัสตับอักเสบบี หรือเคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมาก่อน ได้แก่ HBc Ab หรือ anti HBcซึ่ง ถ้าพบตัวใดตัวหนึ่งเป็นบวก (Positive) ก็ไม่ต้องฉีดวัคซีน แต่หากเป็นลบ (Negative) ทั้งหมด ก็สามารถฉีดวัคซีนได้

          ทั้งนี้ วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี สามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิด และควรฉีดเมื่ออายุยังน้อย ๆ เพื่อป้องกันก่อนได้รับเชื้อ

          แม้ในประเทศไทยจะพบผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบีจำนวนไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตกมากเกินไป เพราะผู้ป่วยโรคนี้สามารถดำเนินชีวิตได้เหมือนคนปกติ และคนส่วนใหญ่สามารถหายจากโรคได้เองตามธรรมชาติ สิ่งสำคัญ ควรปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง ไม่ควรอดนอน หรือดื่มสุราที่จะส่งผลร้ายต่อตับอย่างเด็ดขาด และหากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที